ว่ากันว่า ในบางครั้งระหว่างทางสำคัญไม่แพ้จุดมุ่งหมาย คำกล่าวนั้นน่าจะมีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย เพราะที่มาที่ไปของ Jewelry Café เกิดขึ้นจากการผสมผสานทางความคิดจากสิ่งที่ได้พบเจอระหว่างทาง บวกเข้ากับพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ เกิดเป็นการพัฒนาธุรกิจจิวเวลรี่ออกมาในสไตล์ร้านเบเกอรีสุดน่ารัก สร้างความแปลกใหม่กับปรากฏการณ์ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น

ชาญเกียรติ มหันตคุณ หรือ บอย ทายาทธุรกิจเครื่องประดับ Bee Bijoux ผู้ปลุกปั้นแบรนด์ใหม่อย่าง Jewelry Café เมื่อปลายปี 2553 เล่าว่า หลังจากที่ผู้เป็นพ่อปรารถนาอยากมีร้านกาแฟเล็กๆ เขาเลยมีโอกาสได้เดินทางไปดูร้านกาแฟดีๆ หลายแห่ง พร้อมทั้งมองหาทำเลในการจัดตั้งร้าน หากแต่ช่วงเวลาหนึ่งของการเดินทางไปสู่เป้าหมาย เขากลับค้นพบว่าการกระโดดมาทำธุรกิจร้านกาแฟ หากไม่มี Know how เลย แน่นอนว่าความเสี่ยงจึงค่อนข้างสูง แต่ในเมื่อจุดแข็งของตัวเอง คือ การทำจิวเวลรี่ จึงคิดที่จะทำทั้งสองให้ควบคู่และเกื้อหนุนกัน

“ตอนนั้นเราอยากทำให้ครึ่งร้านขายจิวเวลรี่ อีกครึ่งร้านขายกาแฟ ก็พยายามคิดว่าทำยังไงให้ทั้งสองอย่างตอบโจทย์กันได้อย่างดี คิดไปคิดมาก็ตระหนักได้ว่า จริงๆ แล้วลูกค้าที่ซื้อกาแฟ กับลูกค้าที่ซื้อจิวเวลรี่อาจจะไม่ใช่กลุ่มเดียวกันตลอดเวลา ประกอบกับตอนมีโอกาสออกไปดูสถานที่ภายนอก ส่วนใหญ่จะเห็นว่าร้านกาแฟ และร้านจิวเวลรี่ในปัจจุบัน มักมีการตกแต่งร้านแบบเดิมๆ จึงเกิดเป็นไอเดียในการนำสองอย่างมาผสมผสานเข้าด้วยกัน ในรูปแบบของการทำจิวเวลรี่เป็นรูปขนมแทนความตั้งใจเดิม พร้อมตั้งชื่อและตกแต่งร้านให้เป็นเหมือนร้านเบเกอรี ซึ่งลักษณะนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นในตลาด”

เรียกว่า กว่าจะมาเป็น Jewelry Café บอยต้องฝ่าฟันกับกระบวนการคิดหลายขั้นหลายตอน นักธุรกิจหนุ่มบอกเล่ามุมมองว่า รูปแบบของจิวเวลรี่ที่เกิดขึ้น น่าจะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี ด้วยความมีเอกลักษณ์และแปลกตา ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้เมื่อแบรนด์ได้เปิดเผยตัวต่อสาธารณชนในงานแสดงสินค้า ผู้คนผ่านไปผ่านมาต่างให้ความสนใจกับปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้น

“ที่ทำเป็นรูปเบเกอรี ส่วนหนึ่งเพราะคิดว่าหลายๆ คนชอบขนม คนคงจะคุ้นเคยกับขนมเป็นอย่างดี คลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเห็นแล้วชวนให้นึกย้อนไปถึงความสุขตอนเด็กๆ เพราะฉะนั้น ขนมเป็นสิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้ อีกอย่างคือเป็นคอนเซ็ปต์ที่น่ารักๆ น่าจะถูกใจใครหลายๆ คน”

เมื่อถามถึงจุดเด่นของแบรนด์ บอยนำเสนอว่า Jewelry Café ไม่เหมือนใครเพราะเป็นเครื่องประดับที่มีแนวคิด มีคอนเซ็ปต์ในการออกแบบ สินค้านั้นเต็มไปด้วยความประณีต สามารถเสริมสร้างภาพลักษณ์ของผู้สวมใส่ได้ว่าเป็นคนพิถีพิถันในการในเลือกของดีๆ ให้กับตัวเอง

“ถ้าเทียบราคากับคุณภาพ ถือว่าราคาไม่แพง เพราะเราใช้ตัวเรือนเป็นอัลลอย ชุบด้วยทองแท้ พิงค์โกลด์ และไวท์โกลด์ อีกทั้งความพิถีพิถันค่อนข้างสูง ค่าแรงจึงค่อนข้างแพง เราจะใช้ช่างทีมเดียวกับทีมที่ทำจิวเวลรี่ให้ Bee Bijoux จึงได้งานที่มีความประณีต เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นงานฝีมือขนาดนี้ ถือว่าไม่แพง เราไม่ได้สร้างแบรนด์ออกมาให้เป็นลักษณะเพื่อมวลชนมาก แต่ว่าเราเน้นทำอะไรที่ออกมาเป็นลักษณะพิเศษน่าสนใจ มากกว่าจะเป็นงานโหลๆ ก็มีคนมาซื้อเป็นของฝาก เป็นของขวัญให้เพื่อนด้วย เมื่อเราเห็นคนสนใจไปกับสิ่งที่เราทำ เราก็รู้สึกดี เป็นความสุขของคนที่ทำงานออกแบบ”

สูตรสำเร็จของนักธุรกิจหนุ่มนั้นไม่ได้ยากเย็นนัก เขาบอกเล่าถึงกุญแจที่ไขไปสู่ความสำเร็จว่า การรับฟังคำติชมของลูกค้า และพร้อมปรับตามความต้องการ รวมถึงขยันพบปะพูดคุยกับลูกค้าด้วยตัวเอง นั่นคือหัวใจสำคัญของการนำพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ โดยแต่ละชิ้นงานที่เขาออกแบบ มีเคล็ดลับอยู่ที่การนำคำแนะนำและคำติชมมาเป็นปัจจัยอย่างสำคัญอย่างหนึ่ง เมื่อรับรู้แล้วว่าทิศทางความต้องการเป็นยังไง ทำให้สามารถลุยต่อเรื่องออกแบบได้ เขาจึงมั่นใจว่าผลิตออกมาแล้วสามารถขายได้

“ก้าวต่อไปของเรา ตอนนี้กำลังวางแผนการทำแฟรนไชส์ เมื่อระบบทุกอย่างเราเข้าที่เข้าทาง เราจะเริ่มทำโดยให้บริการแบบครบวงจร ตรงนี้เรามองว่าความสำคัญไม่ใช่แค่การขายหรือการส่งของไปให้แล้วจบ แต่คนที่มาร่วมลงทุนเขาต้องได้รับการซัพพอร์ตอย่างเต็มที่ นอกจากสามารถส่งของให้ได้อย่างต่อเนื่องแล้ว บริการหลังการขายที่ดี และการฝึกอบรมแก่แฟรนไชซีเป็นเรื่องจำเป็น เราคิดว่าพร้อมเริ่มภายในปลายปีนี้”

ว่ากันว่า ธุรกิจจะโดดเด่น หากรู้จักหาความใหม่ ใส่ความต่าง สร้างเอกลักษณ์ ถ้าต้องการพบเจอแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ความคิด ลองหยุดสำรวจมุมมองระหว่างทาง แล้วจะพบว่ายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังหลงหูหลงตา

His Suggestion

ผมว่าเรื่องสำคัญมากๆ ของคนทำธุรกิจ คือ การมีโอกาสได้พบกับลูกค้า ไม่ว่าโอกาสใดก็ตาม เช่น เวลาออกบูธ ผมพยายามไปเองทุกครั้ง เพราะเรามีโอกาสได้เจอกับผู้ซื้อจริงๆ เราได้มีโอกาสเรียนรู้ว่าเขาชอบอันไหน ไม่ชอบอันไหน และมีคำแนะนำอะไรให้เราพัฒนาหรือไม่ อะไรสามารถตอบโจทย์เขาจริงๆ ได้บ้าง อีกอย่างคือ ผมว่ายุคของโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างปัจจุบัน เฟซบุ๊กเป็นช่องทางสำคัญมากที่เอื้ออำนวยให้เราสื่อสารกับลูกค้าได้ตลอดเวลา ยามที่เราจัดโปรโมชั่น อัพเดตรูปสินค้าใหม่ๆ หรือกิจกรรมใดๆ ก็ตาม

Jewelry Café
โทร. 0-2661-3437
www.facebook.com/jewelrycafe
เรื่อง : ธีรนาฎ มีนุ่น
ภาพ : ปิยชาติ ไตรถาวร

อัลบั้มภาพ Jewelry Cafe จับขนมใส่จิวเวลรี่ ภาพที่ 3 / 8

Jewelry Cafe จับขนมใส่จิวเวลรี่