การลงทุนตลาดหุ้น รวมเรื่องที่ค้นหา : Sanook Money หน้า 1698

แท็ก

การลงทุนตลาดหุ้น

การลงทุนตลาดหุ้น ใหม่ล่าสุด

ใหม่ล่าสุด
KBANKประกาศแต่งตั้งผู้บริหารบริษัทในเครือใหม่

KBANKประกาศแต่งตั้งผู้บริหารบริษัทในเครือใหม่

นาย ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เครือธนาคารกสิกรไทย ได้ประกาศแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทในเครือฯ เพื่อรองรับการแข่งขันและการเติบโตของธุรกิจ ร่วมทั้งการมุ่งมั่นในการสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า โดยได้แต่งตั้งให้นายศาศวัต วีระปรีย ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัทแฟคเต อรี แอนด์ อีควิปเมนท์ กสิกรไทย จำกัด นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด นางสาวณัฐรินทร์ ตาลทอง เป็นประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด และนายพัชร สมะลาภา เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2553       นาย ประสาร กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้บริหารใหม่ และผู้บริหารในปัจจุบัน ได้แก่ นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด ดร.เชาวน์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด จะร่วมกันสร้างโอกาสในการแข่งขันและความเข้มแข็งทางธุรกิจให้เครือธนาคารกสิกรไทยได้มากขึ้น

เปิดอ่าน8
บล.ไอร่า : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.ไอร่า : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52 ทิศทางตลาดวันนี้  Sideway             (?)ต่างชาติขาย มูลค่าซื้อขายเบาบาง (?) ราคาน้ำมัน +0.72 อยู่ที่ USD78.77/barrel หุ้นแนะนำ:  หุ้นกลุ่มรับเหมาฯ จากการประมูลสายสีน้ำเงินที่ยังมีความไม่แน่นอนปัจจัยสำคัญวันนี้     (+)ตลาดหุ้นต่างประเทศ DJIA +26.98, NASDAQ +5.39, S&P +1.30, FTSE (ปิดทำการ), CAC +34.42, และ DAX +45.48 จากตัวเลขค้าปลีกของสหรัฐที่คาดดีขึ้นจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงวันหยุดปลายปี  ขณะที่ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าตลาด NYMEX  +US$0.72 อยู่ที่ US$78.77/barrel  จากการคาดการณ์ทางบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงความกังวลจากความไม่สงบในอิหร่านและความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนเรื่องค่าธรรมเนียมในการส่งน้ำมันดิบรัสเซียผ่านยูเครนไปยังยุโรป (-)เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศมียอดสุทธิ -295 ล้านบาท มียอดสะสมตั้งแต่ต้นปี +38,383 ล้านบาท (+) สศค. ปรับเป้าหมาย GDP ปี’52 จาก -3.0% เป็น -2.8% และปี’53 จาก +3.3% เป็น 3.5%กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ ทิศทางตลาดวันนี้:   Sideway  มูลค่าซื้อขายเบาบาง ที่สำคัญแนะจับตา 181 โครงการ ที่สมาคมต่อต้านโรคร้อนฯ ยื่นฟ้องศาลปกครอง เพิ่มเติม ปีหน้า รวมถึงประเด็นการเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่ยังไม่สามารถสรุปราคากลางได้ ซึ่งจะมีการหารือในวันนี้ (29/12/52) เพิ่มเติม ซึ่งอาจกดดันหุ้นในกลุ่มรับเหมาฯประเด็นภายในประเทศที่น่าจับตา  ได้แก่ (1) คณะกรรมการแก้ไขปัญหามามตาพุดจะสรุปแนวการแก้ไข สัปดาห์ที่ 3 ของธค52 ล่าสุด 19โครงการยื่นอุทธรณ์ศาลปกครอง (2) PTTEP ประเมินความเสียหายแหล่งมอนทารา ธค52-มค53 ประชุมนักวิเคราะห์ 15มค (3) พิพากษาคดียึดทรัพย์  76,000ล้านบาท กพ53 โดยจะไต่สวนครั้งสุดท้าย 12-14มค หุ้นกลุ่มที่ถูก Short-Sale 28 ธค  ได้แก่  SCB, KBANK, TDEX

เปิดอ่าน8
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52กลยุทธ์การลงทุน สศค. คาดเศรษฐกิจปี 2553 โต 3.5% หากเบิกจ่ายไทยเข้มแข็ง 80% และแก้มาบตาพุดสำเร็จ ราคาน้ำตาลสร้าง New High ขณะที่ Nymex ขึ้นไปที่ 78.91 เหรียญฯ ดีต่อ KSL และ PTTEP คาด ครม. ผ่านกรอบการทำ EIA และ HIA วันนี้ ขณะที่อีก 181 โครงการ เตรียมส่งฟ้อง ไม่มีปัจจัยลบแทรก PTTEP, KSL และหุ้นปันผลอย่าง ADVANC และ SC เด่น สศค. คาดเศรษฐกิจปี 2553 โต 3.5% หากเบิกจ่ายไทยเข้มแข็ง 80% และแก้ปัญหามาบตาพุดสำเร็จ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประเมินตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2552 ที่ ติดลบ 2.8% ส่วนปี 2553 คาดเติบโต 3.5% ทั้งนี้อยู่ภายใต้สมมุติฐานสำคัญว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนโครงการไทยเข้มแข็งที่ 80% และต้องสามารถแก้ไขปัญหามาบตาพุดได้สำเร็จ ตัวเลขประมาณการยของ สศค. ถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิจัยที่คาดว่าปี 2553 จะมีการเติบโตในอัตรา 3.0% ซึ่งจากการตรวจสอบสมมุติฐานในการจัดทำประมาณการแล้ว พบว่าจุดแตกต่างสำคัญมาจาก 3 ส่วนหลักคือ การขยายตัวของงบลงทุนภาครัฐ ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเติบโต 5.6% ขณะที่ สศค. คาดว่าเติบโต 7.4% ด้านการลงทุนภาคเอกชนฝ่ายวิจัยคาดเติบโต 5% ส่วน สศค. อยู่ที่ 8% และประการสุดท้ายคือการคาดการณ์เรื่องการเติบโตของภาคการส่งออก ซึ่ง สศค. คาด 8% ขณะที่ฝ่ายวิจัยคาด 4.3% ฝ่ายวิจัยยังคงยึดแนวทางการจัดทำประมาณการที่อนุรักษ์นิยมต่อไป อย่างไรก็ตามภาพใหญ่ในส่วนของแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2553 ยังมีความเห็นที่เป็นไปในทางสอดคล้องกันกล่าวคือ แรงขับเคลื่อนสำคัญจะอยู่ที่การเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐบาล และการใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคของครัวเรือน ซึ่งหากเป็นไปตามคาด เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่ม รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งทึ่โดดเด่นในปัจจุบันฝ่ายวิจัยเห็นว่าเป็นบริษัทรับเหมาขนาดกลางเช่น SYNTEC, SEAFCO, TTCL , กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คือ TASCO, SSI, กลุ่มค้าปลีก BIGC, MAKRO เห็นได้ว่าตัวเลือกการลงทุนที่ดียังมีอีกมาก เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลาง – เล็ก ซึ่งอาจไม่มีอิทธิพลต่อ SET Index มากนักราคาน้ำตาลสร้าง New High ขณะที่ Nymex ขึ้นไปที่ 78.91 เหรียญฯ ดีต่อ KSL และ PTTEP ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญปรับตัวเพิ่มขึ้น เริ่มจากราคาน้ำตาล ซึ่งล่าสุดปรับขึ้นจาก 605 เหรียญฯ/ตัน มาสร้าง New High ที่ 612 เหรียญฯ/ตัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากภาวะน้ำท่วมในพื้นที่แหล่งผลิตอันดับ 1 และ 2 ของโลกได้แก่ ที่ บราซิล และอินเดียตามลำดับ ทำให้ถูกคาดหมายว่าผลผลิตอาจต่ำกว่าปกติ การปรับตัวขึ้นมาดังกล่าวน่าจะส่งผลดีอย่างเต็มที่ต่อหุ้น KSL โดยปี 2553 (งวดบัญชีสิ้นสุด 31 ต.ค.) น่าจะเห็นการเติบโตของผลประกอบการในอัตราที่สูงถึง 45% YoY ทั้งนี้จากทั้งราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น และผลผลิตอ้อยในประเทศที่เพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยกำหนด Fair Value ที่ 16.46 บาท แนะนำ ซื้อ ในส่วนของราคาน้ำมันพบว่า NYMEX ปรับเพิ่มขึ้นมาทื่ 78.91 เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่งเกิดจากแรงหนุน 2 ประการคือ ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นตามฤดูกาล และ การเริ่มอ่อนค่าลงของ US Dollar ประเมินว่าในระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบ NYMEX มีโอกาสขึ้นไปทดสอบ High เดิม ที่บริเวณ 80 เหรียญฯ PTTEP น่าจะเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวมากที่สุด ซึ่งราคาหุ้นก็ได้ตอบสนองในเชิงบวกมาแล้วระยะหนี่ง อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปัจจุบันยังคงต่ำกว่า Fair Value ณ สิ้นปี 2553 ซึ่งฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ที่ 181 บาทอยู่ค่อนข้างมาก นักลงทุนที่สามารถถือหุ้นลงทุนระยะยาวได้สามารถทยอยสะสมหุ้นเพื่อการลงทุนคาด ครม. ผ่านกรอบการทำ EIA และ HIA วันนี้ ขณะที่อีก 181 โครงการ เตรียมส่งฟ้อง ในวันนี้ ครม. จะมีการพิจารณาเรื่องกรอบการจัดทำรายงาน EIA และ HIA เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนดในรัฐธรรมนูญมาตรา 67 ซึ่งจากการตรวจสอบกระแสที่ออกมาจากสื่อต่างๆ เห็นว่ากรอบการทำงานดังกล่าวได้รับการตอบรับจากผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากการที่ได้ผ่านการกลั่นกรองมาจากคณะกรรมการร่วม 4 ฝ่าย ดังนั้นจึงคาดว่า ครม. น่าจะอนุมัติกรอบการทำงานดังกล่าว และดำเนินการประกาศเป็นกฎกระทรวง ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป อย่างไรก็ตามประด็นดังกล่าวไม่น่าจะมีผลต่อราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากราคาหุ้นส่วนใหญ่ได้ตอบรับในทางบวกไปแล้ว ประเด็นจากนี้ไปยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ต้องติดตามคือการเคลื่อนไหวของ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่เตรียมยื่นฟ้อง 181 โครงการ ต่อศาลปกครองในช่วงต้นปี 2553 อย่างไรก็ตามเชื่อว่าผลกระทบจะไม่รุนแรงเหมือน กรณีมาบตาพุด เนื่องจากมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทนอกตลาดฯ มากกว่า ขณะที่บริษัทจดทะเบียนที่อาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมเป็นบริษัทขนาดกลาง-เล็กเป็นส่วนใหญ่ เช่น AMATA, FMT, KSL, NNCL, ROJNA, SCCC, TCB และ TFD เป็นต้นไม่มีปัจจัยลบแทรก PTTEP, KSL และหุ้นปันผลอย่าง ADVANC และ SC โดดเด่น จากการประเมินสถานการณ์โดยภาพรวม ฝ่ายวิจัยเห็นว่าตลาดหุ้นยังอยู่ในภาวะที่ไม่มีปัจจัยลบใหม่ๆ เข้ามาแทรก ทำให้การเคลื่อนไหวในวันนี้ยังน่าจะอยู่ในทิศทางเดิม คือการปรับเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงซื้อจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศสนับสนุน คาดว่าในช่วง 2 วันทำการสุดท้าย SET Index มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่บริเวณ 735–740 จุด สำหรับหุ้นเด่นที่ฝ่ายวิจัยคัดเลือกมาในวันนี้ ประกอบด้วย PTTEP และ KSL โดยทั้ง 2 บริษัท ได้รับแรงขับเคลื่อนจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้ราคหุ้นตอบรับในทางที่ดี นอกจากนี้ยังมีหุ้นปันผลที่น่าสนใจอีก 2 บริษัทได้แก่ ADVANC และ SC โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SC น่าจะเห็นการเติบโตของผลประกอบการที่โดดเด่นทั้งในงวด 4Q52 และปี 2553 ส่วน Dividend Yield  อยู่ที่ประมาณ 7% ต่อปี จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง               

เปิดอ่าน9
บล.กรุงศรีอยุธยา : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.กรุงศรีอยุธยา : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.กรุงศรีอยุธยา : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52 Market Recap and Trend: การเข้าซื้อของกองทุนยังเป็นปัจจัยหลักในการหนุนการปรับสูงขึ้นของ SET วันนี้ ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางต่อเนื่อง 7,129 ล้านบาท SET เคลื่อนไหวแคบๆ เกือบตลอดวันปิดตลาดปรับสูงขึ้นเล็กน้อย 0.46% ปิดตลาดที่ 733.71 จุด นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานอย่าง PTT, PTTEP, PTTAR, และ PTTCH เป็นหลัก โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสุทธิต่อเนื่อง 295 ล้านบาท สำหรับแนวโน้ม SET วันนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวแคบๆ ต่อเนื่องไปจนถึงหยุดเทศกาลปีใหม่ ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบาง ขณะที่เราคงมีมุมมองเป็นบวกต่อเนื่องในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค.ตามแนวโน้มเศรษฐกิจ และแนวโน้มผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง 10-11% (ถ้ามีการแก้ไขปัญหามาบตาพุดได้เร็ว กำไรมีแนวโน้มขยายตัวมากกว่านี้) ในปี 2010 โดยมีเป้าหมาย SET อิงวิธี Bottom Up ที่ 740-800 จุด สำหรับตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนที่ผ่านมา ปรับสูงขึ้น 0.26% จากตัวเลขยอดขายช่วงวันหยุดปลายปีที่ดีขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นต่อเนื่องเกือบ 1% เมื่อคืนที่ผ่านมา กอปรกับความคืบหน้าแก้ไขปัญหาการลงทุนในเขตมาบตาพุด ล่าสุด NGO เห็นชอบกรอบ EIA และ HIA แล้ว ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานInvestment Strategy: ทยอยสะสมกลุ่มหุ้นหลักต่อเนื่อง เราแนะนำนักลงทุนทยอยสะสมหุ้นกลุ่มหลักอย่างกลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP, PTTAR,TOP) ธนาคาร (BBL, KBANK, SCB, TISCO, KK) และอสังหาฯ (QH, AP, PS, LH) รวมไปถึงหุ้นหลักอื่นๆ ตามตารางด้านล่าง โดยเราคงแนะนำนักลงทุนถือหุ้นในสัดส่วน 80%ของพอร์ตต่อเนื่อง และใช้กลยุทธ์ Let the Profit Run เพื่อไปขายหุ้นในช่วง 1Q10 ที่ระดับ740-800 จุด และจำเป็นต้องระวังการพักฐานรอบใหญ่ที่อาจตามมา ตามความกังวลต่อ 1.การยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเสริมสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินทั่วโลก(Exit Strategy) 2.แนวโน้มเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น จะเป็นปัจจัยกดดันการใช้มาตรการการเงินของธนาคารกลาง 3. Valuation ของ SET ที่เริ่มไม่อยู่ในโซน “ถูก” แล้ว Top Picks PTT PTTEP BANPU TOP PTTAR BBL KBANK SCB KTB TISCO DCC SCC LH QH AP PS SPALI KSL TUF CPALL AOT STANLY SAT TTAFutures Strategy: สถานะ LONG ได้เปรียบต่อเนื่อง โดยเลื่อนจุด Trailing Stop ขึ้นมาที่ 516 จุดAUTO: หุ้นหลายๆ ตัวมี Sentiment ที่แข็งแกร่งขึ้นตลาดต่างประเทศ และประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นในตลาดโลก ตลาดหุ้นสหรัฐปิดเพิ่มขึ้น ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 0.26% เช่นเดียวกับดัชนี S&P500 ปิดเพิ่มขึ้น 0.12% โดยได้รับแรงหนุนจากบริษัทค้าปลีกสหรัฐสามารถทำยอดขายได้ดีขึ้นในช่วงวันหยุดปลายปีนี้ (1 พ.ย.-24 ธ.ค.) โดยยอดขายพุ่งขึ้น 3.6 % ทั้งนี้ตัวเลขยอดค้าปลีกช่วยหนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีกรายใหญ่ โดยหุ้นเมซีส์ อิงค์พุ่งขึ้น 1.1 % สู่ 17.76 ดอลลาร์ นอกจากนี้ ตัวเลขดังกล่าวยังช่วยบดบังการร่วงลงของหุ้นกลุ่มสายการบินท่ามกลางความกังวลเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางทางอากาศ ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปิดเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ปิดเพิ่มขึ้น 0.72 ดอลลาร์ หรือ 0.92% เป็น 78.77 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากแรงหนุนจากภาวะอากาศที่หนาวเย็นและจากการคาดการณ์ในทางบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ประกอบกับจากการคาดการณ์ที่ว่าตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบและน้ำมันกลั่นอาจลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับยูโร และเยน โดยภาวะซื้อขายเบาบาง ขณะที่นักลงทุนจำนวนมากในยุโรปอยู่ในช่วงวันหยุดระหว่างคริสต์มาสและปีใหม่ขณะเดียวกันนักลงทุนจำนวนมากกำลังจับตาดูว่า ดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในเดือนหน้าหรือไม่หลังจากดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 14 ปีเมื่อเทียบกับเยนในเดือนพ.ย. ทั้งนี้ เยนร่วงลงขณะที่นักลงทุนฉวยโอกาสที่ตลาดมีการซื้อขายเงียบเหงาปรับสถานะการลงทุนก่อนที่กิจกรรมซื้อขายอาจจะเพิ่มขึ้นในปีหน้า ไม่มีดัชนีค่าระวางเรือเทกอง ปิดทำการเนื่องในวันคริสต์มาส               

เปิดอ่าน7
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52กลยุทธ์การลงทุน สศค. คาดเศรษฐกิจปี 2553 โต 3.5% หากเบิกจ่ายไทยเข้มแข็ง 80% และแก้มาบตาพุดสำเร็จ ราคาน้ำตาลสร้าง New High ขณะที่ Nymex ขึ้นไปที่ 78.91 เหรียญฯ ดีต่อ KSL และ PTTEP คาด ครม. ผ่านกรอบการทำ EIA และ HIA วันนี้ ขณะที่อีก 181 โครงการ เตรียมส่งฟ้อง ไม่มีปัจจัยลบแทรก PTTEP, KSL และหุ้นปันผลอย่าง ADVANC และ SC เด่น สศค. คาดเศรษฐกิจปี 2553 โต 3.5% หากเบิกจ่ายไทยเข้มแข็ง 80% และแก้ปัญหามาบตาพุดสำเร็จ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประเมินตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2552 ที่ ติดลบ 2.8% ส่วนปี 2553 คาดเติบโต 3.5% ทั้งนี้อยู่ภายใต้สมมุติฐานสำคัญว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนโครงการไทยเข้มแข็งที่ 80% และต้องสามารถแก้ไขปัญหามาบตาพุดได้สำเร็จ ตัวเลขประมาณการยของ สศค. ถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิจัยที่คาดว่าปี 2553 จะมีการเติบโตในอัตรา 3.0% ซึ่งจากการตรวจสอบสมมุติฐานในการจัดทำประมาณการแล้ว พบว่าจุดแตกต่างสำคัญมาจาก 3 ส่วนหลักคือ การขยายตัวของงบลงทุนภาครัฐ ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเติบโต 5.6% ขณะที่ สศค. คาดว่าเติบโต 7.4% ด้านการลงทุนภาคเอกชนฝ่ายวิจัยคาดเติบโต 5% ส่วน สศค. อยู่ที่ 8% และประการสุดท้ายคือการคาดการณ์เรื่องการเติบโตของภาคการส่งออก ซึ่ง สศค. คาด 8% ขณะที่ฝ่ายวิจัยคาด 4.3% ฝ่ายวิจัยยังคงยึดแนวทางการจัดทำประมาณการที่อนุรักษ์นิยมต่อไป อย่างไรก็ตามภาพใหญ่ในส่วนของแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2553 ยังมีความเห็นที่เป็นไปในทางสอดคล้องกันกล่าวคือ แรงขับเคลื่อนสำคัญจะอยู่ที่การเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐบาล และการใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคของครัวเรือน ซึ่งหากเป็นไปตามคาด เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่ม รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งทึ่โดดเด่นในปัจจุบันฝ่ายวิจัยเห็นว่าเป็นบริษัทรับเหมาขนาดกลางเช่น SYNTEC, SEAFCO, TTCL , กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คือ TASCO, SSI, กลุ่มค้าปลีก BIGC, MAKRO เห็นได้ว่าตัวเลือกการลงทุนที่ดียังมีอีกมาก เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลาง – เล็ก ซึ่งอาจไม่มีอิทธิพลต่อ SET Index มากนักราคาน้ำตาลสร้าง New High ขณะที่ Nymex ขึ้นไปที่ 78.91 เหรียญฯ ดีต่อ KSL และ PTTEP ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญปรับตัวเพิ่มขึ้น เริ่มจากราคาน้ำตาล ซึ่งล่าสุดปรับขึ้นจาก 605 เหรียญฯ/ตัน มาสร้าง New High ที่ 612 เหรียญฯ/ตัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากภาวะน้ำท่วมในพื้นที่แหล่งผลิตอันดับ 1 และ 2 ของโลกได้แก่ ที่ บราซิล และอินเดียตามลำดับ ทำให้ถูกคาดหมายว่าผลผลิตอาจต่ำกว่าปกติ การปรับตัวขึ้นมาดังกล่าวน่าจะส่งผลดีอย่างเต็มที่ต่อหุ้น KSL โดยปี 2553 (งวดบัญชีสิ้นสุด 31 ต.ค.) น่าจะเห็นการเติบโตของผลประกอบการในอัตราที่สูงถึง 45% YoY ทั้งนี้จากทั้งราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น และผลผลิตอ้อยในประเทศที่เพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยกำหนด Fair Value ที่ 16.46 บาท แนะนำ ซื้อ ในส่วนของราคาน้ำมันพบว่า NYMEX ปรับเพิ่มขึ้นมาทื่ 78.91 เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่งเกิดจากแรงหนุน 2 ประการคือ ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นตามฤดูกาล และ การเริ่มอ่อนค่าลงของ US Dollar ประเมินว่าในระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบ NYMEX มีโอกาสขึ้นไปทดสอบ High เดิม ที่บริเวณ 80 เหรียญฯ PTTEP น่าจะเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวมากที่สุด ซึ่งราคาหุ้นก็ได้ตอบสนองในเชิงบวกมาแล้วระยะหนี่ง อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปัจจุบันยังคงต่ำกว่า Fair Value ณ สิ้นปี 2553 ซึ่งฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ที่ 181 บาทอยู่ค่อนข้างมาก นักลงทุนที่สามารถถือหุ้นลงทุนระยะยาวได้สามารถทยอยสะสมหุ้นเพื่อการลงทุนคาด ครม. ผ่านกรอบการทำ EIA และ HIA วันนี้ ขณะที่อีก 181 โครงการ เตรียมส่งฟ้อง ในวันนี้ ครม. จะมีการพิจารณาเรื่องกรอบการจัดทำรายงาน EIA และ HIA เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนดในรัฐธรรมนูญมาตรา 67 ซึ่งจากการตรวจสอบกระแสที่ออกมาจากสื่อต่างๆ เห็นว่ากรอบการทำงานดังกล่าวได้รับการตอบรับจากผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากการที่ได้ผ่านการกลั่นกรองมาจากคณะกรรมการร่วม 4 ฝ่าย ดังนั้นจึงคาดว่า ครม. น่าจะอนุมัติกรอบการทำงานดังกล่าว และดำเนินการประกาศเป็นกฎกระทรวง ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป อย่างไรก็ตามประด็นดังกล่าวไม่น่าจะมีผลต่อราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากราคาหุ้นส่วนใหญ่ได้ตอบรับในทางบวกไปแล้ว ประเด็นจากนี้ไปยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ต้องติดตามคือการเคลื่อนไหวของ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่เตรียมยื่นฟ้อง 181 โครงการ ต่อศาลปกครองในช่วงต้นปี 2553 อย่างไรก็ตามเชื่อว่าผลกระทบจะไม่รุนแรงเหมือน กรณีมาบตาพุด เนื่องจากมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทนอกตลาดฯ มากกว่า ขณะที่บริษัทจดทะเบียนที่อาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมเป็นบริษัทขนาดกลาง-เล็กเป็นส่วนใหญ่ เช่น AMATA, FMT, KSL, NNCL, ROJNA, SCCC, TCB และ TFD เป็นต้นไม่มีปัจจัยลบแทรก PTTEP, KSL และหุ้นปันผลอย่าง ADVANC และ SC โดดเด่น จากการประเมินสถานการณ์โดยภาพรวม ฝ่ายวิจัยเห็นว่าตลาดหุ้นยังอยู่ในภาวะที่ไม่มีปัจจัยลบใหม่ๆ เข้ามาแทรก ทำให้การเคลื่อนไหวในวันนี้ยังน่าจะอยู่ในทิศทางเดิม คือการปรับเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงซื้อจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศสนับสนุน คาดว่าในช่วง 2 วันทำการสุดท้าย SET Index มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่บริเวณ 735–740 จุด สำหรับหุ้นเด่นที่ฝ่ายวิจัยคัดเลือกมาในวันนี้ ประกอบด้วย PTTEP และ KSL โดยทั้ง 2 บริษัท ได้รับแรงขับเคลื่อนจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้ราคหุ้นตอบรับในทางที่ดี นอกจากนี้ยังมีหุ้นปันผลที่น่าสนใจอีก 2 บริษัทได้แก่ ADVANC และ SC โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SC น่าจะเห็นการเติบโตของผลประกอบการที่โดดเด่นทั้งในงวด 4Q52 และปี 2553 ส่วน Dividend Yield  อยู่ที่ประมาณ 7% ต่อปี จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง               

เปิดอ่าน6
บล.เกียรตินาคิน : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เกียรตินาคิน : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เกียรตินาคิน : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52SET วานนี้ปิดบวก และยังยืนเหนือ 730 จุด ตามแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบาง SET ปิดบวก และยังยืนเหนือ 730 จุด โดยดัชนีปรับตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้า และต่อเนื่องถึงภาคบ่าย หลังนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะ บมจ. ปตท. (PTT) จากความคาดหวังทางบวกต่อปัญหามาบตาพุด ส่งผลให้มีดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดของวัน 733.71 จุด เพิ่มขึ้น 3.30 จุด (+0.45%) ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบาง 7,129.20 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิจำนวน 295.05 ล้านบาทตารางแสดงยอดการลงทุนของต่างชาติปี 2552 Aug-09    Sep-09    Oct-09    Nov -09    Dec -09    Total -092,996    22,994    654    -13,135    -4,362    38,383ที่มา : รวบรวมโดย KKSแนวโน้มตลาดวันนี้ เราคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวในช่วง 730-738 จุด เป็นแนวโน้มแกว่งตัวบวกตามดาวโจนส์ที่ +26 จุด โดยยังมีวอลุ่มเบาบางจากการที่ตลาดหุ้นยังซื้อขายในช่วงก่อนวันหยุดปลายปี ด้านสถาบันซื้อสุทธิ +971 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ -295 ล้านบาท แสดงถึงตลาดหุ้นจะเป็นแนวโน้มแกว่งตัวผันผวน แต่มีน้ำหนักทางบวกต่อเนื่องได้หลังจากตลาดสามารถยืนเหนือระดับ 730 จุด โดยการซื้อขายจะอยู่ในหุ้นกลุ่มพลังงานที่นำตลาดอยู่จากการเก็งกำไรคาดหวังทางบวกต่อปัญหามาบตาพุด ซึ่งยังหนุนให้ดัชนีปรับขึ้นต่อใน 1-2 วันนี้ด้วย สำหรับกลยุทธ์ในภาพรวมในช่วงนี้ ในระยะสั้นตลาดหุ้นยังแกว่งตัวในกรอบ 720-738 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรได้ถ้าตลาดยืนเหนือ 730 จุด กรณีต่ำกว่า 725 จุดจึงจะเป็นสัญญาณขาย สำหรับสัดส่วนการลงทุนในช่วงนี้ให้เป็นถือหุ้น 75% ถือเงินสด 25%ปัจจัยที่ส่งผลต่อหุ้นวันนี้ : (+)    1. ตลาดหุ้นสหรัฐ  วานนี้ปิดบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 หลังตัวเลขการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ดีขึ้น ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดของวันที่ 11.57 จุด จากระดับเปิด และปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดของวันที่ 33.70 จุด จากระดับเปิด ก่อนที่จะมาปิดตลาดที่ระดับ 10,547.08 จุด เพิ่มขึ้น 26.98 จุด (+0.26%) ส่วนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ในกรอบ 0.52-0.88% หลังหุ้นกลุ่มธนาคารและน้ำมันปรับขึ้น (-)    2. นักลงทุนต่างประเทศ  วานนี้นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิจำนวน 295.05 ล้านบาท ส่งผลให้ปี 52 นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิจำนวน 38,383 ล้านบาท (+)    3. บัญชีบริษัทหลักทรัพย์  วานนี้บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิจำนวน 94.90 ล้านบาท (+)    4. LTF-RMF  เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันสำหรับเดือน ธ.ค. ที่มีการเข้าลงทุนในกองทุน LTF/RMF ทำให้สถาบันยังมีแนวโน้มของการซื้อสุทธิต่อเนื่อง เมื่อวานนี้สถาบันซื้อสุทธิ 971.99 ล้านบาท ทั้งนี้ในเดือน ธ.ค. สถาบันซื้อสุทธิจำนวน 11,248.89 ล้านบาท (-)    5. ค่าเงินบาท On shore  วานนี้เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยและเคลื่อนไหวในกรอบ 33.33-33.45 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 33.38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเช้านี้เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 33.38-33.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ (+)    6. ดัชนีค่าเงินดอลลาร์  วานนี้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเล็กน้อยและปิดที่ระดับ 77.633 จุด ลดลง 0.008 จุด (-0.010%) สำหรับเช้านี้เคลื่อนไหวอยู่ที่ 77.643-77.679 จุด (+)    7. ราคาน้ำมัน  วานนี้ปิดบวกวันที่ 4 หลังได้รับแรงหนุนจากภาวะอากาศที่หนาวเย็น และจากการคาดการณ์ในทางบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยราคาน้ำมันดิบตลาด Nymex ปิดตลาดที่ระดับ 78.77 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 72 เซนต์ (+0.92%) ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดตลาดที่ระดับ 77.32 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.01 ดอลลาร์ (+1.32%) (+)    8. ราคาทองคำ  วานนี้ปิดบวกวันที่ 3 หลังดอลลาร์อ่อนค่าเล็กน้อย โดยราคาทองคำที่ตลาด Comex ส่งมอบเดือน ก.พ. ปิดตลาดที่ระดับ 1,107.90 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 3.10 ดอลลาร์ (+0.28%) (0)    9. ค่าระวางเรือ  วานนี้ปิดทำการในช่วงคริสต์มาสจนถึงปีใหม่ (+)    10. การเมือง  วานนี้ (28 ธ.ค.) นายกรัฐมนตรีเผยว่า หลังปีใหม่จะหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลถึงแนวทางแก้รัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งจะทำให้การเมืองในปี 53 มีเสถียรภาพมากที่สุด โดยยึดบทเรียนความขัดแย้งทางการเมืองในปี 51 (+)    11. เศรษฐกิจ  วานนี้ (28 ธ.ค.) สศค. ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยในปี 53 เป็นเฉลี่ย 3.5% จากที่คาดหดตัว 2.8% ในปี 52 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และรัฐบาลเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปที่ 1.50% (+)    12. Widow dressing  สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาส 4/52 และเหลือเวลาอีกเพียง 2 วัน ติดตามการทำราคาก่อนวันปิดสิ้นงวดบัญชี (Window Dressing) (+)    13. หุ้นปันผล  ทาง KKS คาดการณ์จ่ายปันผลของผลประกอบการ 2H52 ที่คาดหมายผลตอบแทนเงินปันผลระดับ 3-9% ซึ่งเป็นผลมาจากผลประกอบการในครึ่งปีหลัง (2H52) และผลประกอบการทั้งปีของปี 52 เช่น KTB, ASP, BLS, PHATRA, BAT-3K, TPC, AP, LPN, SPALI, MK, TOP, BCP-DR1, GRAMMY, MCOT, HANA, DELTA, ADVANC และ TKT

เปิดอ่าน9
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52ตลาดอาจผันผวนไปบ้าง แต่สุดท้ายยังลุ้นขึ้นต่อ... กลยุทธ์  แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะยังค่อนข้างแกว่งตัวผันผวน แต่ก็ยังเคลื่อนไหวเป็นบวกต่อเนื่องได้ดี โดยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางลงไปก็เนื่องมาจากเป็นช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ของนักลงทุนต่างประเทศเท่านั้น ขณะที่พัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของประเด็นมาบตาพุด ก็ถือว่ายังช่วยสนับสนุนแรงซื้อในหุ้นหลักๆ ในกลุ่มพลังงาน นอกจากนี้การคาดหวังการขยับขึ้นของ SET จากผลของ January Effect ในเดือนแรกของปีใหม่ก็น่าจะยังทำให้แรงซื้อในตลาดหุ้นไทยมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง FSS ยังคงคาดว่าต้นปีหน้าเรามีโอกาสจะได้เห็นดัชนีขยับขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมของรอบที่บริเวณ 758 จุดได้อยู่  ดังนั้นถ้า SET ปรับตัวลงจึงแนะนำเป็นจังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อเพื่อถือรอไปขายต้นปีหน้า โดยหุ้นที่แนะนำได้แก่ PTT, PTTEP, SCC , PTTCH , IRPC , BAY, TCAP, QH เป็นต้นประเด็นสำคัญวันนี้ ไฮไลท์ของสัปดาห์นี้อยู่ในวันนี้ที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะยื่นหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางในการจัดทำรางานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และสุขภาพ (HIA) แก่ ครม. หลังจากที่ NGO และเอกชนเห็นชอบแล้ว หาก ครม. อนุมัติ หลักเกณฑ์ดังกล่าวก็จะสามารถผ่านเป็นกฎกระทรวงหรือระเบียบสำนักนายกเพื่อให้มีผลบังคับใช้ในการกฎหมายต่อไป ที่สำคัญหากรัฐบาลมีกฎระเบียบการทำ EIA, HIA และการจัดตั้งองค์กรอิสระได้เร็ว ผลกระทบที่จะเกิดกับโครงการในมาบตาพุดก็จะเกิดผลกระทบน้อยกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้มาก โดยเฉพาะโครงการของกลุ่มปตท. จะได้รับผลกระทบไม่มาก     สศค. ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2010 เป็น +3.5% จากเดิมที่คาดไว้ +3.3% และหากแก้ไขปัญหามาบตาพุดได้ รวมทั้งเบิกจ่ายงบประมาณไทยเข้มแข็งได้ 80% หรือประมาณ 2.8 แสนล้านบาท GDP มีโอกาสโต 4% ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรคาด GDP ปีหน้าโต 3% สำหรับปี 2009 สศค. คาดว่า GDP จะติดลบ 2.8% ดีขึ้นจากเดิมที่คาด -3% เป็นผลมาจากการเร่งใช้จ่ายของภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าที่เร็วกว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยเดือน พ.ย. (ซึ่ง ธปท. จะรายงานในวันพรุ่งนี้) มีสัญญาณบวกชัดเจนทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกที่บวก Y-Y เป็นครั้งแรกในรอบปี การบริโภคและการลงทุนเอกชนดีขึ้น และการใช้จ่ายของภาครัฐขยายตัวในระดับที่น่าพอใจ ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เพราะเมื่อวานมีการประมูลพันธบัตรของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในสัปดาห์นี้ เป็นพันธบัตรอายุ 2 ปีจำนวน US$4.4 หมื่นล้าน จากจำนวนทั้งหมดที่จะประมูลในสัปดาห์นี้ (จันทร์-พุธ) US$1.18 แสนล้าน ราคาน้ำมันบวก 2.4% ปิดเกือบ US$79 สูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์แม้ว่าดอลลาร์จะแข็งค่าก็ตาม ทั้งนี้เป็นผลมาจากความคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอากาศที่หนาวเย็นในสหรัฐฯ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวันจันทร์ปรับเพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 6 ติดต่อกันแต่ปริมาณการซื้อขายเบาบางมาก Dow Jones บวกเพียง 0.3% นำโดยหุ้นกลุ่มค้าปลีกหลังจากมีรายงานของบริษัท SpendingPulse (บ.ในเครือ MasterCard) ว่ายอดขายในช่วง Holiday season ในเดือน พ.ย. ไม่ได้เลวร้าย แต่กลับเพิ่มขึ้น 3.6% Y-Y นอกจากนี้ กิจกรรมการผลิตในเขต Midwest เดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นมาสู่ระดับเกือบสูงที่สุดของปี สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดทำการ 4 วัน วันศุกร์ตลาดการเงินทั้งหมดในสหรัฐฯ ปิด ดัชนีค่าระวางเรือ (BDI) ปิดทำการวันจันทร์จนถึงสิ้นปี เปิดตลาดอีกครั้งวันที่ 4 ม.ค. SGF-W2 ใช้สิทธิครั้งสุดท้ายวันที่ 2 ก.พ. 2553 ระยะเวลาแจ้งความจำนงในการใช้สิทธิครั้งสุดท้ายคือตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค. 2553 - 1 ก.พ. 2553 อัตราการใช้สิทธิ 1:1 ราคาหุ้นละ 1 บาท วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนใบสำคัญแสดงสิทธิ SGF-W2 : วันที่ 12 ม.ค. 2553 - 2 ก.พ. 2553 IRP: ตั้งแต่ 24 ธ.ค. 2552 – 1 ก.พ. 2553 นักลงทุนที่ถือหุ้น IRP สามารถนำไปแลกเป็นหุ้นแม่คือ IVL ได้ในสัดส่วน 1 IRP : 1.232 IVL และในอนาคตหุ้น IRP จะถูก delist ออกจากตลาดฯ ขณะที่ IVL จะ IPO เข้ามาจดทะเบียนในตลาดฯ แทน (ในวันเดียวกัน) สัดส่วนดังกล่าวคำนวณโดยอ้างอิงราคา IRP ที่ 14 บาท ซึ่งหมายความว่าราคา IVL ต่อหุ้นเท่ากับ 11.36 บาท (14 / 1.232) หากราคา IPO ของ IVL ต่ำกว่า 11.36 บาท IVL จะคืนส่วนต่างให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ IRP เป็นหุ้น IVL แต่หากราคา IPO ของ IVL สูงกว่านั้น ก้ถือเป็นกำไรของผู้ที่ถือ IRP ไป Technical View : “ยังต้องรอวิ่งผ่าน 735 จุดก่อน ถึงจะลุ้นขยับหา 740-744 จุดให้เทรดดิ้งต่อ...แต่ถ้าไม่ผ่านขึ้นก็ยังต้องระวังไหลลงหา 720-715 จุด และเสี่ยงต่อการที่จะไหลลงต่อเนื่องด้วย...” แนวรับ    :   725***, 720-715*      แนวต้าน  :   735**, 740-744***Technical Picks:TTCL (Bt 7.30 เป้าเทคนิค 7.70-7.90 cut loss ถ้าหลุด 7.10)NNCL (Bt 1.46 เป้าเทคนิค 1.56-1.58 cut loss ถ้าหลุด 1.42)NBC (Bt 2.94 เป้าเทคนิค 3.18-3.22 cut loss ถ้าหลุด 2.90)

เปิดอ่าน10
บล.ยูโอบีเคย์เฮียน : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.ยูโอบีเคย์เฮียน : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.ยูโอบีเคย์เฮียน : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52ทยอยซื้อหุ้นกลุ่มหลัก ช่วงอ่อนตัว รอขายที่ 750 สัปดาห์หน้า     แนวโน้มตลาดวันนี้ : การเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของตลาดหุ้นสหรัฐ และราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า จะเป็นปัจจัยบวกต่อบรรยากาศการลงทุนวันนี้ โดยยังคงมีแรงซื้อจากเงินลงทุนของ LTF และ RMF และการทำ Window Dressing เป็นปัจจัยหนุนเช่นเดิม ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ยังคงมีแนวโน้มผันผวนแคบๆ แต่คาดว่าดัชนีจะแกว่งขึ้นได้ต่อเนื่อง จากการพยุงราคาหุ้นกลุ่มหลัก ส่วนปริมาณซื้อขายยังคงเบาบางเช่นเดิมแนวรับ: 728-730            แนวต้าน : 737-740 กลยุทธ์ : ขึ้นขายบ้าง รอซื้อคืนหุ้นกลุ่มหลัก ช่วงราคาอ่อนตัว     แนวโน้มผันผวนแคบ ๆ ของค่าเงินดอลลาร์ คงจะไม่กดดันตลาดหุ้นหลัก ๆ และราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า ในขณะที่สภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นขึ้น จะทำให้มีการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าได้ต่อเนื่อง จึงสามารถเก็งกำไรราคาหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีข้ามปีได้ ในขณะที่ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารอาจจะผันผวนแคบ ๆ อีกสักระยะ และอาจจะดีดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า รับข่าวเงินปันผลและ January Effect ระยะสั้น : ขายทำกำไรบ้าง บริเวณแนวต้าน รอซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มหลัก เมื่ออ่อนตัว ระยะยาว : ถือต่อ และรอซื้อลงทุนหุ้นกลุ่มหลัก ที่แนวต้าน จับข่าวมาเก็งกำไร       + ผู้บริหาร PTT เผยในปี 2553 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตจากปีนี้ โดยกำไรขั้นต้นของกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีจะชะลอตัว และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะทำให้รายได้ขยายตัวได้ประมาณ 20% ส่วนแผนควบรวมกิจการของบริษัทลูกทั้ง 4 บริษัท ได้แก่ PTTCH, PTTAR, IRPC และ TOP จะสรุปได้ในไตรมาสที่ 1/53 ความเห็น: เราคาดว่ากำไรสุทธิของ PTT ในปี 2553 จะเติบโต 14% จากปี 2552 ด้วยผลการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซ และกำไรสุทธิของ PTTEP ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งการควบรวมกิจการของบริษัทลูกจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาค แนะนำ เก็งกำไร PTT, PTTEP, PTTAR และ IRPC เมื่อราคาอ่อนตัว ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุน     ปัจจัยในประเทศ +    สศค. ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของไทยในปี 53 เป็นเฉลี่ย 3.5% จากเดิมที่เคยคาดว่าจะขยายตัว 3.3% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะในเอเชีย และการเร่งจ่ายเงินของภาครัฐในโครงการไทยเข้มแข็ง และคาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปอยู่ที่ 1.5% ในช่วงครึ่งหลังของปี 53   +    กระทรวงพลังงานคาดการณ์ความต้องการใช้พลังงานในปี 53 จะเติบโต 3.8% โดยคาดว่าปริมาณการใช้น้ำมันสำเร็จรูปจะเพิ่มขึ้น 1.7%, ก๊าซธรรมชาติเติบโต 5.1%, ถ่านหินและลิกไนต์เติบโต 2.9% และความต้องการใช้ไฟฟ้าเติบโต 4% ปัจจัยต่างประเทศ +    ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 26.98 จุด ปิดที่ 10,547.08 จุด จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มค้าปลีกหลังการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ดีขึ้นในช่วงปลายปี ขณะที่หุ้นสายการบินปรับลดลงจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางทางอากาศ     +    ราคาน้ำมันดิบ (WTI) ส่งมอบเดือน ก.พ. เพิ่มขึ้น 0.72 ดอลล่าร์ ปิดที่ 78.77 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล โดยได้รับแรงหนุนจากภาวะอากาศที่หนาวเย็นและจากการคาดการณ์ในเชิงบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

เปิดอ่าน11
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52กลยุทธ์การลงทุน สศค. คาดเศรษฐกิจปี 2553 โต 3.5% หากเบิกจ่ายไทยเข้มแข็ง 80% และแก้มาบตาพุดสำเร็จ ราคาน้ำตาลสร้าง New High ขณะที่ Nymex ขึ้นไปที่ 78.91 เหรียญฯ ดีต่อ KSL และ PTTEP คาด ครม. ผ่านกรอบการทำ EIA และ HIA วันนี้ ขณะที่อีก 181 โครงการ เตรียมส่งฟ้อง ไม่มีปัจจัยลบแทรก PTTEP, KSL และหุ้นปันผลอย่าง ADVANC และ SC เด่น สศค. คาดเศรษฐกิจปี 2553 โต 3.5% หากเบิกจ่ายไทยเข้มแข็ง 80% และแก้ปัญหามาบตาพุดสำเร็จ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประเมินตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2552 ที่ ติดลบ 2.8% ส่วนปี 2553 คาดเติบโต 3.5% ทั้งนี้อยู่ภายใต้สมมุติฐานสำคัญว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนโครงการไทยเข้มแข็งที่ 80% และต้องสามารถแก้ไขปัญหามาบตาพุดได้สำเร็จ ตัวเลขประมาณการยของ สศค. ถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิจัยที่คาดว่าปี 2553 จะมีการเติบโตในอัตรา 3.0% ซึ่งจากการตรวจสอบสมมุติฐานในการจัดทำประมาณการแล้ว พบว่าจุดแตกต่างสำคัญมาจาก 3 ส่วนหลักคือ การขยายตัวของงบลงทุนภาครัฐ ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเติบโต 5.6% ขณะที่ สศค. คาดว่าเติบโต 7.4% ด้านการลงทุนภาคเอกชนฝ่ายวิจัยคาดเติบโต 5% ส่วน สศค. อยู่ที่ 8% และประการสุดท้ายคือการคาดการณ์เรื่องการเติบโตของภาคการส่งออก ซึ่ง สศค. คาด 8% ขณะที่ฝ่ายวิจัยคาด 4.3% ฝ่ายวิจัยยังคงยึดแนวทางการจัดทำประมาณการที่อนุรักษ์นิยมต่อไป อย่างไรก็ตามภาพใหญ่ในส่วนของแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2553 ยังมีความเห็นที่เป็นไปในทางสอดคล้องกันกล่าวคือ แรงขับเคลื่อนสำคัญจะอยู่ที่การเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐบาล และการใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคของครัวเรือน ซึ่งหากเป็นไปตามคาด เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่ม รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งทึ่โดดเด่นในปัจจุบันฝ่ายวิจัยเห็นว่าเป็นบริษัทรับเหมาขนาดกลางเช่น SYNTEC, SEAFCO, TTCL , กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คือ TASCO, SSI, กลุ่มค้าปลีก BIGC, MAKRO เห็นได้ว่าตัวเลือกการลงทุนที่ดียังมีอีกมาก เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลาง – เล็ก ซึ่งอาจไม่มีอิทธิพลต่อ SET Index มากนักราคาน้ำตาลสร้าง New High ขณะที่ Nymex ขึ้นไปที่ 78.91 เหรียญฯ ดีต่อ KSL และ PTTEP ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญปรับตัวเพิ่มขึ้น เริ่มจากราคาน้ำตาล ซึ่งล่าสุดปรับขึ้นจาก 605 เหรียญฯ/ตัน มาสร้าง New High ที่ 612 เหรียญฯ/ตัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากภาวะน้ำท่วมในพื้นที่แหล่งผลิตอันดับ 1 และ 2 ของโลกได้แก่ ที่ บราซิล และอินเดียตามลำดับ ทำให้ถูกคาดหมายว่าผลผลิตอาจต่ำกว่าปกติ การปรับตัวขึ้นมาดังกล่าวน่าจะส่งผลดีอย่างเต็มที่ต่อหุ้น KSL โดยปี 2553 (งวดบัญชีสิ้นสุด 31 ต.ค.) น่าจะเห็นการเติบโตของผลประกอบการในอัตราที่สูงถึง 45% YoY ทั้งนี้จากทั้งราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น และผลผลิตอ้อยในประเทศที่เพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยกำหนด Fair Value ที่ 16.46 บาท แนะนำ ซื้อ ในส่วนของราคาน้ำมันพบว่า NYMEX ปรับเพิ่มขึ้นมาทื่ 78.91 เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่งเกิดจากแรงหนุน 2 ประการคือ ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นตามฤดูกาล และ การเริ่มอ่อนค่าลงของ US Dollar ประเมินว่าในระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบ NYMEX มีโอกาสขึ้นไปทดสอบ High เดิม ที่บริเวณ 80 เหรียญฯ PTTEP น่าจะเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวมากที่สุด ซึ่งราคาหุ้นก็ได้ตอบสนองในเชิงบวกมาแล้วระยะหนี่ง อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปัจจุบันยังคงต่ำกว่า Fair Value ณ สิ้นปี 2553 ซึ่งฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ที่ 181 บาทอยู่ค่อนข้างมาก นักลงทุนที่สามารถถือหุ้นลงทุนระยะยาวได้สามารถทยอยสะสมหุ้นเพื่อการลงทุนคาด ครม. ผ่านกรอบการทำ EIA และ HIA วันนี้ ขณะที่อีก 181 โครงการ เตรียมส่งฟ้อง ในวันนี้ ครม. จะมีการพิจารณาเรื่องกรอบการจัดทำรายงาน EIA และ HIA เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนดในรัฐธรรมนูญมาตรา 67 ซึ่งจากการตรวจสอบกระแสที่ออกมาจากสื่อต่างๆ เห็นว่ากรอบการทำงานดังกล่าวได้รับการตอบรับจากผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากการที่ได้ผ่านการกลั่นกรองมาจากคณะกรรมการร่วม 4 ฝ่าย ดังนั้นจึงคาดว่า ครม. น่าจะอนุมัติกรอบการทำงานดังกล่าว และดำเนินการประกาศเป็นกฎกระทรวง ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป อย่างไรก็ตามประด็นดังกล่าวไม่น่าจะมีผลต่อราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากราคาหุ้นส่วนใหญ่ได้ตอบรับในทางบวกไปแล้ว ประเด็นจากนี้ไปยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ต้องติดตามคือการเคลื่อนไหวของ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่เตรียมยื่นฟ้อง 181 โครงการ ต่อศาลปกครองในช่วงต้นปี 2553 อย่างไรก็ตามเชื่อว่าผลกระทบจะไม่รุนแรงเหมือน กรณีมาบตาพุด เนื่องจากมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทนอกตลาดฯ มากกว่า ขณะที่บริษัทจดทะเบียนที่อาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมเป็นบริษัทขนาดกลาง-เล็กเป็นส่วนใหญ่ เช่น AMATA, FMT, KSL, NNCL, ROJNA, SCCC, TCB และ TFD เป็นต้นไม่มีปัจจัยลบแทรก PTTEP, KSL และหุ้นปันผลอย่าง ADVANC และ SC โดดเด่น จากการประเมินสถานการณ์โดยภาพรวม ฝ่ายวิจัยเห็นว่าตลาดหุ้นยังอยู่ในภาวะที่ไม่มีปัจจัยลบใหม่ๆ เข้ามาแทรก ทำให้การเคลื่อนไหวในวันนี้ยังน่าจะอยู่ในทิศทางเดิม คือการปรับเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงซื้อจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศสนับสนุน คาดว่าในช่วง 2 วันทำการสุดท้าย SET Index มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่บริเวณ 735–740 จุด สำหรับหุ้นเด่นที่ฝ่ายวิจัยคัดเลือกมาในวันนี้ ประกอบด้วย PTTEP และ KSL โดยทั้ง 2 บริษัท ได้รับแรงขับเคลื่อนจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้ราคหุ้นตอบรับในทางที่ดี นอกจากนี้ยังมีหุ้นปันผลที่น่าสนใจอีก 2 บริษัทได้แก่ ADVANC และ SC โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SC น่าจะเห็นการเติบโตของผลประกอบการที่โดดเด่นทั้งในงวด 4Q52 และปี 2553 ส่วน Dividend Yield  อยู่ที่ประมาณ 7% ต่อปี จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง               

เปิดอ่าน13
บล.เกียรตินาคิน : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เกียรตินาคิน : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เกียรตินาคิน : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52SET วานนี้ปิดบวก และยังยืนเหนือ 730 จุด ตามแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบาง SET ปิดบวก และยังยืนเหนือ 730 จุด โดยดัชนีปรับตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้า และต่อเนื่องถึงภาคบ่าย หลังนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะ บมจ. ปตท. (PTT) จากความคาดหวังทางบวกต่อปัญหามาบตาพุด ส่งผลให้มีดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดของวัน 733.71 จุด เพิ่มขึ้น 3.30 จุด (+0.45%) ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบาง 7,129.20 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิจำนวน 295.05 ล้านบาทตารางแสดงยอดการลงทุนของต่างชาติปี 2552 Aug-09    Sep-09    Oct-09    Nov -09    Dec -09    Total -092,996    22,994    654    -13,135    -4,362    38,383ที่มา : รวบรวมโดย KKSแนวโน้มตลาดวันนี้ เราคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวในช่วง 730-738 จุด เป็นแนวโน้มแกว่งตัวบวกตามดาวโจนส์ที่ +26 จุด โดยยังมีวอลุ่มเบาบางจากการที่ตลาดหุ้นยังซื้อขายในช่วงก่อนวันหยุดปลายปี ด้านสถาบันซื้อสุทธิ +971 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ -295 ล้านบาท แสดงถึงตลาดหุ้นจะเป็นแนวโน้มแกว่งตัวผันผวน แต่มีน้ำหนักทางบวกต่อเนื่องได้หลังจากตลาดสามารถยืนเหนือระดับ 730 จุด โดยการซื้อขายจะอยู่ในหุ้นกลุ่มพลังงานที่นำตลาดอยู่จากการเก็งกำไรคาดหวังทางบวกต่อปัญหามาบตาพุด ซึ่งยังหนุนให้ดัชนีปรับขึ้นต่อใน 1-2 วันนี้ด้วย สำหรับกลยุทธ์ในภาพรวมในช่วงนี้ ในระยะสั้นตลาดหุ้นยังแกว่งตัวในกรอบ 720-738 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรได้ถ้าตลาดยืนเหนือ 730 จุด กรณีต่ำกว่า 725 จุดจึงจะเป็นสัญญาณขาย สำหรับสัดส่วนการลงทุนในช่วงนี้ให้เป็นถือหุ้น 75% ถือเงินสด 25%ปัจจัยที่ส่งผลต่อหุ้นวันนี้ : (+)    1. ตลาดหุ้นสหรัฐ  วานนี้ปิดบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 หลังตัวเลขการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ดีขึ้น ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดของวันที่ 11.57 จุด จากระดับเปิด และปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดของวันที่ 33.70 จุด จากระดับเปิด ก่อนที่จะมาปิดตลาดที่ระดับ 10,547.08 จุด เพิ่มขึ้น 26.98 จุด (+0.26%) ส่วนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ในกรอบ 0.52-0.88% หลังหุ้นกลุ่มธนาคารและน้ำมันปรับขึ้น (-)    2. นักลงทุนต่างประเทศ  วานนี้นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิจำนวน 295.05 ล้านบาท ส่งผลให้ปี 52 นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิจำนวน 38,383 ล้านบาท (+)    3. บัญชีบริษัทหลักทรัพย์  วานนี้บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิจำนวน 94.90 ล้านบาท (+)    4. LTF-RMF  เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันสำหรับเดือน ธ.ค. ที่มีการเข้าลงทุนในกองทุน LTF/RMF ทำให้สถาบันยังมีแนวโน้มของการซื้อสุทธิต่อเนื่อง เมื่อวานนี้สถาบันซื้อสุทธิ 971.99 ล้านบาท ทั้งนี้ในเดือน ธ.ค. สถาบันซื้อสุทธิจำนวน 11,248.89 ล้านบาท (-)    5. ค่าเงินบาท On shore  วานนี้เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยและเคลื่อนไหวในกรอบ 33.33-33.45 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 33.38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเช้านี้เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 33.38-33.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ (+)    6. ดัชนีค่าเงินดอลลาร์  วานนี้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเล็กน้อยและปิดที่ระดับ 77.633 จุด ลดลง 0.008 จุด (-0.010%) สำหรับเช้านี้เคลื่อนไหวอยู่ที่ 77.643-77.679 จุด (+)    7. ราคาน้ำมัน  วานนี้ปิดบวกวันที่ 4 หลังได้รับแรงหนุนจากภาวะอากาศที่หนาวเย็น และจากการคาดการณ์ในทางบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยราคาน้ำมันดิบตลาด Nymex ปิดตลาดที่ระดับ 78.77 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 72 เซนต์ (+0.92%) ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดตลาดที่ระดับ 77.32 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.01 ดอลลาร์ (+1.32%) (+)    8. ราคาทองคำ  วานนี้ปิดบวกวันที่ 3 หลังดอลลาร์อ่อนค่าเล็กน้อย โดยราคาทองคำที่ตลาด Comex ส่งมอบเดือน ก.พ. ปิดตลาดที่ระดับ 1,107.90 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 3.10 ดอลลาร์ (+0.28%) (0)    9. ค่าระวางเรือ  วานนี้ปิดทำการในช่วงคริสต์มาสจนถึงปีใหม่ (+)    10. การเมือง  วานนี้ (28 ธ.ค.) นายกรัฐมนตรีเผยว่า หลังปีใหม่จะหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลถึงแนวทางแก้รัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งจะทำให้การเมืองในปี 53 มีเสถียรภาพมากที่สุด โดยยึดบทเรียนความขัดแย้งทางการเมืองในปี 51 (+)    11. เศรษฐกิจ  วานนี้ (28 ธ.ค.) สศค. ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยในปี 53 เป็นเฉลี่ย 3.5% จากที่คาดหดตัว 2.8% ในปี 52 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และรัฐบาลเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปที่ 1.50% (+)    12. Widow dressing  สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาส 4/52 และเหลือเวลาอีกเพียง 2 วัน ติดตามการทำราคาก่อนวันปิดสิ้นงวดบัญชี (Window Dressing) (+)    13. หุ้นปันผล  ทาง KKS คาดการณ์จ่ายปันผลของผลประกอบการ 2H52 ที่คาดหมายผลตอบแทนเงินปันผลระดับ 3-9% ซึ่งเป็นผลมาจากผลประกอบการในครึ่งปีหลัง (2H52) และผลประกอบการทั้งปีของปี 52 เช่น KTB, ASP, BLS, PHATRA, BAT-3K, TPC, AP, LPN, SPALI, MK, TOP, BCP-DR1, GRAMMY, MCOT, HANA, DELTA, ADVANC และ TKT

เปิดอ่าน5
บล.ยูโอบีเคย์เฮียน : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.ยูโอบีเคย์เฮียน : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.ยูโอบีเคย์เฮียน : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52ทยอยซื้อหุ้นกลุ่มหลัก ช่วงอ่อนตัว รอขายที่ 750 สัปดาห์หน้า     แนวโน้มตลาดวันนี้ : การเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของตลาดหุ้นสหรัฐ และราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า จะเป็นปัจจัยบวกต่อบรรยากาศการลงทุนวันนี้ โดยยังคงมีแรงซื้อจากเงินลงทุนของ LTF และ RMF และการทำ Window Dressing เป็นปัจจัยหนุนเช่นเดิม ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ยังคงมีแนวโน้มผันผวนแคบๆ แต่คาดว่าดัชนีจะแกว่งขึ้นได้ต่อเนื่อง จากการพยุงราคาหุ้นกลุ่มหลัก ส่วนปริมาณซื้อขายยังคงเบาบางเช่นเดิมแนวรับ: 728-730            แนวต้าน : 737-740 กลยุทธ์ : ขึ้นขายบ้าง รอซื้อคืนหุ้นกลุ่มหลัก ช่วงราคาอ่อนตัว     แนวโน้มผันผวนแคบ ๆ ของค่าเงินดอลลาร์ คงจะไม่กดดันตลาดหุ้นหลัก ๆ และราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า ในขณะที่สภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นขึ้น จะทำให้มีการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าได้ต่อเนื่อง จึงสามารถเก็งกำไรราคาหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีข้ามปีได้ ในขณะที่ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารอาจจะผันผวนแคบ ๆ อีกสักระยะ และอาจจะดีดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า รับข่าวเงินปันผลและ January Effect ระยะสั้น : ขายทำกำไรบ้าง บริเวณแนวต้าน รอซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มหลัก เมื่ออ่อนตัว ระยะยาว : ถือต่อ และรอซื้อลงทุนหุ้นกลุ่มหลัก ที่แนวต้าน จับข่าวมาเก็งกำไร       + ผู้บริหาร PTT เผยในปี 2553 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตจากปีนี้ โดยกำไรขั้นต้นของกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีจะชะลอตัว และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะทำให้รายได้ขยายตัวได้ประมาณ 20% ส่วนแผนควบรวมกิจการของบริษัทลูกทั้ง 4 บริษัท ได้แก่ PTTCH, PTTAR, IRPC และ TOP จะสรุปได้ในไตรมาสที่ 1/53 ความเห็น: เราคาดว่ากำไรสุทธิของ PTT ในปี 2553 จะเติบโต 14% จากปี 2552 ด้วยผลการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซ และกำไรสุทธิของ PTTEP ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งการควบรวมกิจการของบริษัทลูกจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาค แนะนำ เก็งกำไร PTT, PTTEP, PTTAR และ IRPC เมื่อราคาอ่อนตัว ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุน     ปัจจัยในประเทศ +    สศค. ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของไทยในปี 53 เป็นเฉลี่ย 3.5% จากเดิมที่เคยคาดว่าจะขยายตัว 3.3% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะในเอเชีย และการเร่งจ่ายเงินของภาครัฐในโครงการไทยเข้มแข็ง และคาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปอยู่ที่ 1.5% ในช่วงครึ่งหลังของปี 53   +    กระทรวงพลังงานคาดการณ์ความต้องการใช้พลังงานในปี 53 จะเติบโต 3.8% โดยคาดว่าปริมาณการใช้น้ำมันสำเร็จรูปจะเพิ่มขึ้น 1.7%, ก๊าซธรรมชาติเติบโต 5.1%, ถ่านหินและลิกไนต์เติบโต 2.9% และความต้องการใช้ไฟฟ้าเติบโต 4% ปัจจัยต่างประเทศ +    ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 26.98 จุด ปิดที่ 10,547.08 จุด จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มค้าปลีกหลังการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ดีขึ้นในช่วงปลายปี ขณะที่หุ้นสายการบินปรับลดลงจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางทางอากาศ     +    ราคาน้ำมันดิบ (WTI) ส่งมอบเดือน ก.พ. เพิ่มขึ้น 0.72 ดอลล่าร์ ปิดที่ 78.77 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล โดยได้รับแรงหนุนจากภาวะอากาศที่หนาวเย็นและจากการคาดการณ์ในเชิงบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

เปิดอ่าน13
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52ตลาดอาจผันผวนไปบ้าง แต่สุดท้ายยังลุ้นขึ้นต่อ... กลยุทธ์  แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะยังค่อนข้างแกว่งตัวผันผวน แต่ก็ยังเคลื่อนไหวเป็นบวกต่อเนื่องได้ดี โดยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางลงไปก็เนื่องมาจากเป็นช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ของนักลงทุนต่างประเทศเท่านั้น ขณะที่พัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของประเด็นมาบตาพุด ก็ถือว่ายังช่วยสนับสนุนแรงซื้อในหุ้นหลักๆ ในกลุ่มพลังงาน นอกจากนี้การคาดหวังการขยับขึ้นของ SET จากผลของ January Effect ในเดือนแรกของปีใหม่ก็น่าจะยังทำให้แรงซื้อในตลาดหุ้นไทยมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง FSS ยังคงคาดว่าต้นปีหน้าเรามีโอกาสจะได้เห็นดัชนีขยับขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมของรอบที่บริเวณ 758 จุดได้อยู่  ดังนั้นถ้า SET ปรับตัวลงจึงแนะนำเป็นจังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อเพื่อถือรอไปขายต้นปีหน้า โดยหุ้นที่แนะนำได้แก่ PTT, PTTEP, SCC , PTTCH , IRPC , BAY, TCAP, QH เป็นต้นประเด็นสำคัญวันนี้ ไฮไลท์ของสัปดาห์นี้อยู่ในวันนี้ที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะยื่นหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางในการจัดทำรางานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และสุขภาพ (HIA) แก่ ครม. หลังจากที่ NGO และเอกชนเห็นชอบแล้ว หาก ครม. อนุมัติ หลักเกณฑ์ดังกล่าวก็จะสามารถผ่านเป็นกฎกระทรวงหรือระเบียบสำนักนายกเพื่อให้มีผลบังคับใช้ในการกฎหมายต่อไป ที่สำคัญหากรัฐบาลมีกฎระเบียบการทำ EIA, HIA และการจัดตั้งองค์กรอิสระได้เร็ว ผลกระทบที่จะเกิดกับโครงการในมาบตาพุดก็จะเกิดผลกระทบน้อยกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้มาก โดยเฉพาะโครงการของกลุ่มปตท. จะได้รับผลกระทบไม่มาก     สศค. ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2010 เป็น +3.5% จากเดิมที่คาดไว้ +3.3% และหากแก้ไขปัญหามาบตาพุดได้ รวมทั้งเบิกจ่ายงบประมาณไทยเข้มแข็งได้ 80% หรือประมาณ 2.8 แสนล้านบาท GDP มีโอกาสโต 4% ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรคาด GDP ปีหน้าโต 3% สำหรับปี 2009 สศค. คาดว่า GDP จะติดลบ 2.8% ดีขึ้นจากเดิมที่คาด -3% เป็นผลมาจากการเร่งใช้จ่ายของภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าที่เร็วกว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยเดือน พ.ย. (ซึ่ง ธปท. จะรายงานในวันพรุ่งนี้) มีสัญญาณบวกชัดเจนทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกที่บวก Y-Y เป็นครั้งแรกในรอบปี การบริโภคและการลงทุนเอกชนดีขึ้น และการใช้จ่ายของภาครัฐขยายตัวในระดับที่น่าพอใจ ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เพราะเมื่อวานมีการประมูลพันธบัตรของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในสัปดาห์นี้ เป็นพันธบัตรอายุ 2 ปีจำนวน US$4.4 หมื่นล้าน จากจำนวนทั้งหมดที่จะประมูลในสัปดาห์นี้ (จันทร์-พุธ) US$1.18 แสนล้าน ราคาน้ำมันบวก 2.4% ปิดเกือบ US$79 สูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์แม้ว่าดอลลาร์จะแข็งค่าก็ตาม ทั้งนี้เป็นผลมาจากความคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอากาศที่หนาวเย็นในสหรัฐฯ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวันจันทร์ปรับเพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 6 ติดต่อกันแต่ปริมาณการซื้อขายเบาบางมาก Dow Jones บวกเพียง 0.3% นำโดยหุ้นกลุ่มค้าปลีกหลังจากมีรายงานของบริษัท SpendingPulse (บ.ในเครือ MasterCard) ว่ายอดขายในช่วง Holiday season ในเดือน พ.ย. ไม่ได้เลวร้าย แต่กลับเพิ่มขึ้น 3.6% Y-Y นอกจากนี้ กิจกรรมการผลิตในเขต Midwest เดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นมาสู่ระดับเกือบสูงที่สุดของปี สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดทำการ 4 วัน วันศุกร์ตลาดการเงินทั้งหมดในสหรัฐฯ ปิด ดัชนีค่าระวางเรือ (BDI) ปิดทำการวันจันทร์จนถึงสิ้นปี เปิดตลาดอีกครั้งวันที่ 4 ม.ค. SGF-W2 ใช้สิทธิครั้งสุดท้ายวันที่ 2 ก.พ. 2553 ระยะเวลาแจ้งความจำนงในการใช้สิทธิครั้งสุดท้ายคือตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค. 2553 - 1 ก.พ. 2553 อัตราการใช้สิทธิ 1:1 ราคาหุ้นละ 1 บาท วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนใบสำคัญแสดงสิทธิ SGF-W2 : วันที่ 12 ม.ค. 2553 - 2 ก.พ. 2553 IRP: ตั้งแต่ 24 ธ.ค. 2552 – 1 ก.พ. 2553 นักลงทุนที่ถือหุ้น IRP สามารถนำไปแลกเป็นหุ้นแม่คือ IVL ได้ในสัดส่วน 1 IRP : 1.232 IVL และในอนาคตหุ้น IRP จะถูก delist ออกจากตลาดฯ ขณะที่ IVL จะ IPO เข้ามาจดทะเบียนในตลาดฯ แทน (ในวันเดียวกัน) สัดส่วนดังกล่าวคำนวณโดยอ้างอิงราคา IRP ที่ 14 บาท ซึ่งหมายความว่าราคา IVL ต่อหุ้นเท่ากับ 11.36 บาท (14 / 1.232) หากราคา IPO ของ IVL ต่ำกว่า 11.36 บาท IVL จะคืนส่วนต่างให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ IRP เป็นหุ้น IVL แต่หากราคา IPO ของ IVL สูงกว่านั้น ก้ถือเป็นกำไรของผู้ที่ถือ IRP ไป Technical View : “ยังต้องรอวิ่งผ่าน 735 จุดก่อน ถึงจะลุ้นขยับหา 740-744 จุดให้เทรดดิ้งต่อ...แต่ถ้าไม่ผ่านขึ้นก็ยังต้องระวังไหลลงหา 720-715 จุด และเสี่ยงต่อการที่จะไหลลงต่อเนื่องด้วย...” แนวรับ    :   725***, 720-715*      แนวต้าน  :   735**, 740-744***Technical Picks:TTCL (Bt 7.30 เป้าเทคนิค 7.70-7.90 cut loss ถ้าหลุด 7.10)NNCL (Bt 1.46 เป้าเทคนิค 1.56-1.58 cut loss ถ้าหลุด 1.42)NBC (Bt 2.94 เป้าเทคนิค 3.18-3.22 cut loss ถ้าหลุด 2.90)

เปิดอ่าน4
บล.ไอร่า : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.ไอร่า : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52 ทิศทางตลาดวันนี้  Sideway             (?)ต่างชาติขาย มูลค่าซื้อขายเบาบาง (?) ราคาน้ำมัน +0.72 อยู่ที่ USD78.77/barrel หุ้นแนะนำ:  หุ้นกลุ่มรับเหมาฯ จากการประมูลสายสีน้ำเงินที่ยังมีความไม่แน่นอนปัจจัยสำคัญวันนี้     (+)ตลาดหุ้นต่างประเทศ DJIA +26.98, NASDAQ +5.39, S&P +1.30, FTSE (ปิดทำการ), CAC +34.42, และ DAX +45.48 จากตัวเลขค้าปลีกของสหรัฐที่คาดดีขึ้นจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงวันหยุดปลายปี  ขณะที่ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าตลาด NYMEX  +US$0.72 อยู่ที่ US$78.77/barrel  จากการคาดการณ์ทางบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงความกังวลจากความไม่สงบในอิหร่านและความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนเรื่องค่าธรรมเนียมในการส่งน้ำมันดิบรัสเซียผ่านยูเครนไปยังยุโรป (-)เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศมียอดสุทธิ -295 ล้านบาท มียอดสะสมตั้งแต่ต้นปี +38,383 ล้านบาท (+) สศค. ปรับเป้าหมาย GDP ปี’52 จาก -3.0% เป็น -2.8% และปี’53 จาก +3.3% เป็น 3.5%กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ ทิศทางตลาดวันนี้:   Sideway  มูลค่าซื้อขายเบาบาง ที่สำคัญแนะจับตา 181 โครงการ ที่สมาคมต่อต้านโรคร้อนฯ ยื่นฟ้องศาลปกครอง เพิ่มเติม ปีหน้า รวมถึงประเด็นการเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่ยังไม่สามารถสรุปราคากลางได้ ซึ่งจะมีการหารือในวันนี้ (29/12/52) เพิ่มเติม ซึ่งอาจกดดันหุ้นในกลุ่มรับเหมาฯประเด็นภายในประเทศที่น่าจับตา  ได้แก่ (1) คณะกรรมการแก้ไขปัญหามามตาพุดจะสรุปแนวการแก้ไข สัปดาห์ที่ 3 ของธค52 ล่าสุด 19โครงการยื่นอุทธรณ์ศาลปกครอง (2) PTTEP ประเมินความเสียหายแหล่งมอนทารา ธค52-มค53 ประชุมนักวิเคราะห์ 15มค (3) พิพากษาคดียึดทรัพย์  76,000ล้านบาท กพ53 โดยจะไต่สวนครั้งสุดท้าย 12-14มค หุ้นกลุ่มที่ถูก Short-Sale 28 ธค  ได้แก่  SCB, KBANK, TDEX

เปิดอ่าน9
IFS แคปปิตอลเข้าตลาดหุ้นปีหน้า

IFS แคปปิตอลเข้าตลาดหุ้นปีหน้า

นายตัน เล เยน กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสนอขายหุ้น(ไฟลิ่ง)ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2552 และหลังจาก ก.ล.ต.อนุมัติ คาดว่าหุ้นของบริษัทจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ใม่เกินไตรมาส 2 ของปี 2553           ทั้งนี้บริษัทได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคที ซีมิโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและเป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยหุ้นสามัญที่จะเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) มีจำนวน 120 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 25.53 ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมด มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท บริษัทคาดว่าจะได้เงินจากการระดมทุนครั้งนี้ประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อจะนำไปใช้ในการขยายฐานธุรกิจสินเชื่อแฟคเตอริ่งและสินเชื่อทางการเงินอื่นๆ ให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการ ส่วนผลประกอบการของบริษัทสำหรับปี 2552 ทั้งปี คาดจะมียอดการให้สินเชื่อประมาณ 13,500 - 14,000 ล้านบาท และคาดการณ์กำไรไว้ที่ 71 ล้านบาท ส่วนปี 2553 บริษัทตั้งเป้ายอดสินเชื่ออยู่ที่ 18,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 30  ที่มา แนวหน้า

เปิดอ่าน7
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52กลยุทธ์การลงทุน สศค. คาดเศรษฐกิจปี 2553 โต 3.5% หากเบิกจ่ายไทยเข้มแข็ง 80% และแก้มาบตาพุดสำเร็จ ราคาน้ำตาลสร้าง New High ขณะที่ Nymex ขึ้นไปที่ 78.91 เหรียญฯ ดีต่อ KSL และ PTTEP คาด ครม. ผ่านกรอบการทำ EIA และ HIA วันนี้ ขณะที่อีก 181 โครงการ เตรียมส่งฟ้อง ไม่มีปัจจัยลบแทรก PTTEP, KSL และหุ้นปันผลอย่าง ADVANC และ SC เด่น สศค. คาดเศรษฐกิจปี 2553 โต 3.5% หากเบิกจ่ายไทยเข้มแข็ง 80% และแก้ปัญหามาบตาพุดสำเร็จ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประเมินตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2552 ที่ ติดลบ 2.8% ส่วนปี 2553 คาดเติบโต 3.5% ทั้งนี้อยู่ภายใต้สมมุติฐานสำคัญว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนโครงการไทยเข้มแข็งที่ 80% และต้องสามารถแก้ไขปัญหามาบตาพุดได้สำเร็จ ตัวเลขประมาณการยของ สศค. ถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิจัยที่คาดว่าปี 2553 จะมีการเติบโตในอัตรา 3.0% ซึ่งจากการตรวจสอบสมมุติฐานในการจัดทำประมาณการแล้ว พบว่าจุดแตกต่างสำคัญมาจาก 3 ส่วนหลักคือ การขยายตัวของงบลงทุนภาครัฐ ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเติบโต 5.6% ขณะที่ สศค. คาดว่าเติบโต 7.4% ด้านการลงทุนภาคเอกชนฝ่ายวิจัยคาดเติบโต 5% ส่วน สศค. อยู่ที่ 8% และประการสุดท้ายคือการคาดการณ์เรื่องการเติบโตของภาคการส่งออก ซึ่ง สศค. คาด 8% ขณะที่ฝ่ายวิจัยคาด 4.3% ฝ่ายวิจัยยังคงยึดแนวทางการจัดทำประมาณการที่อนุรักษ์นิยมต่อไป อย่างไรก็ตามภาพใหญ่ในส่วนของแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2553 ยังมีความเห็นที่เป็นไปในทางสอดคล้องกันกล่าวคือ แรงขับเคลื่อนสำคัญจะอยู่ที่การเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐบาล และการใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคของครัวเรือน ซึ่งหากเป็นไปตามคาด เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่ม รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งทึ่โดดเด่นในปัจจุบันฝ่ายวิจัยเห็นว่าเป็นบริษัทรับเหมาขนาดกลางเช่น SYNTEC, SEAFCO, TTCL , กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คือ TASCO, SSI, กลุ่มค้าปลีก BIGC, MAKRO เห็นได้ว่าตัวเลือกการลงทุนที่ดียังมีอีกมาก เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลาง – เล็ก ซึ่งอาจไม่มีอิทธิพลต่อ SET Index มากนักราคาน้ำตาลสร้าง New High ขณะที่ Nymex ขึ้นไปที่ 78.91 เหรียญฯ ดีต่อ KSL และ PTTEP ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญปรับตัวเพิ่มขึ้น เริ่มจากราคาน้ำตาล ซึ่งล่าสุดปรับขึ้นจาก 605 เหรียญฯ/ตัน มาสร้าง New High ที่ 612 เหรียญฯ/ตัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากภาวะน้ำท่วมในพื้นที่แหล่งผลิตอันดับ 1 และ 2 ของโลกได้แก่ ที่ บราซิล และอินเดียตามลำดับ ทำให้ถูกคาดหมายว่าผลผลิตอาจต่ำกว่าปกติ การปรับตัวขึ้นมาดังกล่าวน่าจะส่งผลดีอย่างเต็มที่ต่อหุ้น KSL โดยปี 2553 (งวดบัญชีสิ้นสุด 31 ต.ค.) น่าจะเห็นการเติบโตของผลประกอบการในอัตราที่สูงถึง 45% YoY ทั้งนี้จากทั้งราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น และผลผลิตอ้อยในประเทศที่เพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยกำหนด Fair Value ที่ 16.46 บาท แนะนำ ซื้อ ในส่วนของราคาน้ำมันพบว่า NYMEX ปรับเพิ่มขึ้นมาทื่ 78.91 เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่งเกิดจากแรงหนุน 2 ประการคือ ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นตามฤดูกาล และ การเริ่มอ่อนค่าลงของ US Dollar ประเมินว่าในระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบ NYMEX มีโอกาสขึ้นไปทดสอบ High เดิม ที่บริเวณ 80 เหรียญฯ PTTEP น่าจะเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวมากที่สุด ซึ่งราคาหุ้นก็ได้ตอบสนองในเชิงบวกมาแล้วระยะหนี่ง อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปัจจุบันยังคงต่ำกว่า Fair Value ณ สิ้นปี 2553 ซึ่งฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ที่ 181 บาทอยู่ค่อนข้างมาก นักลงทุนที่สามารถถือหุ้นลงทุนระยะยาวได้สามารถทยอยสะสมหุ้นเพื่อการลงทุนคาด ครม. ผ่านกรอบการทำ EIA และ HIA วันนี้ ขณะที่อีก 181 โครงการ เตรียมส่งฟ้อง ในวันนี้ ครม. จะมีการพิจารณาเรื่องกรอบการจัดทำรายงาน EIA และ HIA เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนดในรัฐธรรมนูญมาตรา 67 ซึ่งจากการตรวจสอบกระแสที่ออกมาจากสื่อต่างๆ เห็นว่ากรอบการทำงานดังกล่าวได้รับการตอบรับจากผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากการที่ได้ผ่านการกลั่นกรองมาจากคณะกรรมการร่วม 4 ฝ่าย ดังนั้นจึงคาดว่า ครม. น่าจะอนุมัติกรอบการทำงานดังกล่าว และดำเนินการประกาศเป็นกฎกระทรวง ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป อย่างไรก็ตามประด็นดังกล่าวไม่น่าจะมีผลต่อราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากราคาหุ้นส่วนใหญ่ได้ตอบรับในทางบวกไปแล้ว ประเด็นจากนี้ไปยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ต้องติดตามคือการเคลื่อนไหวของ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่เตรียมยื่นฟ้อง 181 โครงการ ต่อศาลปกครองในช่วงต้นปี 2553 อย่างไรก็ตามเชื่อว่าผลกระทบจะไม่รุนแรงเหมือน กรณีมาบตาพุด เนื่องจากมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทนอกตลาดฯ มากกว่า ขณะที่บริษัทจดทะเบียนที่อาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมเป็นบริษัทขนาดกลาง-เล็กเป็นส่วนใหญ่ เช่น AMATA, FMT, KSL, NNCL, ROJNA, SCCC, TCB และ TFD เป็นต้นไม่มีปัจจัยลบแทรก PTTEP, KSL และหุ้นปันผลอย่าง ADVANC และ SC โดดเด่น จากการประเมินสถานการณ์โดยภาพรวม ฝ่ายวิจัยเห็นว่าตลาดหุ้นยังอยู่ในภาวะที่ไม่มีปัจจัยลบใหม่ๆ เข้ามาแทรก ทำให้การเคลื่อนไหวในวันนี้ยังน่าจะอยู่ในทิศทางเดิม คือการปรับเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงซื้อจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศสนับสนุน คาดว่าในช่วง 2 วันทำการสุดท้าย SET Index มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่บริเวณ 735–740 จุด สำหรับหุ้นเด่นที่ฝ่ายวิจัยคัดเลือกมาในวันนี้ ประกอบด้วย PTTEP และ KSL โดยทั้ง 2 บริษัท ได้รับแรงขับเคลื่อนจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้ราคหุ้นตอบรับในทางที่ดี นอกจากนี้ยังมีหุ้นปันผลที่น่าสนใจอีก 2 บริษัทได้แก่ ADVANC และ SC โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SC น่าจะเห็นการเติบโตของผลประกอบการที่โดดเด่นทั้งในงวด 4Q52 และปี 2553 ส่วน Dividend Yield  อยู่ที่ประมาณ 7% ต่อปี จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง               

เปิดอ่าน12
บล.เกียรตินาคิน : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เกียรตินาคิน : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เกียรตินาคิน : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52SET วานนี้ปิดบวก และยังยืนเหนือ 730 จุด ตามแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบาง SET ปิดบวก และยังยืนเหนือ 730 จุด โดยดัชนีปรับตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้า และต่อเนื่องถึงภาคบ่าย หลังนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะ บมจ. ปตท. (PTT) จากความคาดหวังทางบวกต่อปัญหามาบตาพุด ส่งผลให้มีดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดของวัน 733.71 จุด เพิ่มขึ้น 3.30 จุด (+0.45%) ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบาง 7,129.20 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิจำนวน 295.05 ล้านบาทตารางแสดงยอดการลงทุนของต่างชาติปี 2552 Aug-09    Sep-09    Oct-09    Nov -09    Dec -09    Total -092,996    22,994    654    -13,135    -4,362    38,383ที่มา : รวบรวมโดย KKSแนวโน้มตลาดวันนี้ เราคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวในช่วง 730-738 จุด เป็นแนวโน้มแกว่งตัวบวกตามดาวโจนส์ที่ +26 จุด โดยยังมีวอลุ่มเบาบางจากการที่ตลาดหุ้นยังซื้อขายในช่วงก่อนวันหยุดปลายปี ด้านสถาบันซื้อสุทธิ +971 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ -295 ล้านบาท แสดงถึงตลาดหุ้นจะเป็นแนวโน้มแกว่งตัวผันผวน แต่มีน้ำหนักทางบวกต่อเนื่องได้หลังจากตลาดสามารถยืนเหนือระดับ 730 จุด โดยการซื้อขายจะอยู่ในหุ้นกลุ่มพลังงานที่นำตลาดอยู่จากการเก็งกำไรคาดหวังทางบวกต่อปัญหามาบตาพุด ซึ่งยังหนุนให้ดัชนีปรับขึ้นต่อใน 1-2 วันนี้ด้วย สำหรับกลยุทธ์ในภาพรวมในช่วงนี้ ในระยะสั้นตลาดหุ้นยังแกว่งตัวในกรอบ 720-738 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรได้ถ้าตลาดยืนเหนือ 730 จุด กรณีต่ำกว่า 725 จุดจึงจะเป็นสัญญาณขาย สำหรับสัดส่วนการลงทุนในช่วงนี้ให้เป็นถือหุ้น 75% ถือเงินสด 25%ปัจจัยที่ส่งผลต่อหุ้นวันนี้ : (+)    1. ตลาดหุ้นสหรัฐ  วานนี้ปิดบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 หลังตัวเลขการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ดีขึ้น ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดของวันที่ 11.57 จุด จากระดับเปิด และปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดของวันที่ 33.70 จุด จากระดับเปิด ก่อนที่จะมาปิดตลาดที่ระดับ 10,547.08 จุด เพิ่มขึ้น 26.98 จุด (+0.26%) ส่วนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ในกรอบ 0.52-0.88% หลังหุ้นกลุ่มธนาคารและน้ำมันปรับขึ้น (-)    2. นักลงทุนต่างประเทศ  วานนี้นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิจำนวน 295.05 ล้านบาท ส่งผลให้ปี 52 นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิจำนวน 38,383 ล้านบาท (+)    3. บัญชีบริษัทหลักทรัพย์  วานนี้บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิจำนวน 94.90 ล้านบาท (+)    4. LTF-RMF  เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันสำหรับเดือน ธ.ค. ที่มีการเข้าลงทุนในกองทุน LTF/RMF ทำให้สถาบันยังมีแนวโน้มของการซื้อสุทธิต่อเนื่อง เมื่อวานนี้สถาบันซื้อสุทธิ 971.99 ล้านบาท ทั้งนี้ในเดือน ธ.ค. สถาบันซื้อสุทธิจำนวน 11,248.89 ล้านบาท (-)    5. ค่าเงินบาท On shore  วานนี้เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยและเคลื่อนไหวในกรอบ 33.33-33.45 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 33.38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเช้านี้เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 33.38-33.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ (+)    6. ดัชนีค่าเงินดอลลาร์  วานนี้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเล็กน้อยและปิดที่ระดับ 77.633 จุด ลดลง 0.008 จุด (-0.010%) สำหรับเช้านี้เคลื่อนไหวอยู่ที่ 77.643-77.679 จุด (+)    7. ราคาน้ำมัน  วานนี้ปิดบวกวันที่ 4 หลังได้รับแรงหนุนจากภาวะอากาศที่หนาวเย็น และจากการคาดการณ์ในทางบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยราคาน้ำมันดิบตลาด Nymex ปิดตลาดที่ระดับ 78.77 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 72 เซนต์ (+0.92%) ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดตลาดที่ระดับ 77.32 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.01 ดอลลาร์ (+1.32%) (+)    8. ราคาทองคำ  วานนี้ปิดบวกวันที่ 3 หลังดอลลาร์อ่อนค่าเล็กน้อย โดยราคาทองคำที่ตลาด Comex ส่งมอบเดือน ก.พ. ปิดตลาดที่ระดับ 1,107.90 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 3.10 ดอลลาร์ (+0.28%) (0)    9. ค่าระวางเรือ  วานนี้ปิดทำการในช่วงคริสต์มาสจนถึงปีใหม่ (+)    10. การเมือง  วานนี้ (28 ธ.ค.) นายกรัฐมนตรีเผยว่า หลังปีใหม่จะหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลถึงแนวทางแก้รัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งจะทำให้การเมืองในปี 53 มีเสถียรภาพมากที่สุด โดยยึดบทเรียนความขัดแย้งทางการเมืองในปี 51 (+)    11. เศรษฐกิจ  วานนี้ (28 ธ.ค.) สศค. ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยในปี 53 เป็นเฉลี่ย 3.5% จากที่คาดหดตัว 2.8% ในปี 52 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และรัฐบาลเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปที่ 1.50% (+)    12. Widow dressing  สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาส 4/52 และเหลือเวลาอีกเพียง 2 วัน ติดตามการทำราคาก่อนวันปิดสิ้นงวดบัญชี (Window Dressing) (+)    13. หุ้นปันผล  ทาง KKS คาดการณ์จ่ายปันผลของผลประกอบการ 2H52 ที่คาดหมายผลตอบแทนเงินปันผลระดับ 3-9% ซึ่งเป็นผลมาจากผลประกอบการในครึ่งปีหลัง (2H52) และผลประกอบการทั้งปีของปี 52 เช่น KTB, ASP, BLS, PHATRA, BAT-3K, TPC, AP, LPN, SPALI, MK, TOP, BCP-DR1, GRAMMY, MCOT, HANA, DELTA, ADVANC และ TKT

เปิดอ่าน9
ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดที่ 33.37-33.39 บาท/ดอลล์

ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดที่ 33.37-33.39 บาท/ดอลล์

นักค้าเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาดที่ระดับ 33.37-33.39 บาทต่อดอลลาร์ ระหว่างวันคาดว่า จะเคลื่อนไหวทรงตัวอยู่ในกรอบ 33.35-33.45 บาทต่อดอลลาร์  เนื่องจากเป็นช่วงใกล้วันหยุด ประกอบกับไม่มีปัจจัยใหม่ๆ               

เปิดอ่าน7
บล.เกียรตินาคิน : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เกียรตินาคิน : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.เกียรตินาคิน : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52SET วานนี้ปิดบวก และยังยืนเหนือ 730 จุด ตามแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบาง SET ปิดบวก และยังยืนเหนือ 730 จุด โดยดัชนีปรับตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้า และต่อเนื่องถึงภาคบ่าย หลังนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะ บมจ. ปตท. (PTT) จากความคาดหวังทางบวกต่อปัญหามาบตาพุด ส่งผลให้มีดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดของวัน 733.71 จุด เพิ่มขึ้น 3.30 จุด (+0.45%) ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบาง 7,129.20 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิจำนวน 295.05 ล้านบาทตารางแสดงยอดการลงทุนของต่างชาติปี 2552 Aug-09    Sep-09    Oct-09    Nov -09    Dec -09    Total -092,996    22,994    654    -13,135    -4,362    38,383ที่มา : รวบรวมโดย KKSแนวโน้มตลาดวันนี้ เราคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวในช่วง 730-738 จุด เป็นแนวโน้มแกว่งตัวบวกตามดาวโจนส์ที่ +26 จุด โดยยังมีวอลุ่มเบาบางจากการที่ตลาดหุ้นยังซื้อขายในช่วงก่อนวันหยุดปลายปี ด้านสถาบันซื้อสุทธิ +971 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ -295 ล้านบาท แสดงถึงตลาดหุ้นจะเป็นแนวโน้มแกว่งตัวผันผวน แต่มีน้ำหนักทางบวกต่อเนื่องได้หลังจากตลาดสามารถยืนเหนือระดับ 730 จุด โดยการซื้อขายจะอยู่ในหุ้นกลุ่มพลังงานที่นำตลาดอยู่จากการเก็งกำไรคาดหวังทางบวกต่อปัญหามาบตาพุด ซึ่งยังหนุนให้ดัชนีปรับขึ้นต่อใน 1-2 วันนี้ด้วย สำหรับกลยุทธ์ในภาพรวมในช่วงนี้ ในระยะสั้นตลาดหุ้นยังแกว่งตัวในกรอบ 720-738 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรได้ถ้าตลาดยืนเหนือ 730 จุด กรณีต่ำกว่า 725 จุดจึงจะเป็นสัญญาณขาย สำหรับสัดส่วนการลงทุนในช่วงนี้ให้เป็นถือหุ้น 75% ถือเงินสด 25%ปัจจัยที่ส่งผลต่อหุ้นวันนี้ : (+)    1. ตลาดหุ้นสหรัฐ  วานนี้ปิดบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 หลังตัวเลขการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ดีขึ้น ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดของวันที่ 11.57 จุด จากระดับเปิด และปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดของวันที่ 33.70 จุด จากระดับเปิด ก่อนที่จะมาปิดตลาดที่ระดับ 10,547.08 จุด เพิ่มขึ้น 26.98 จุด (+0.26%) ส่วนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ในกรอบ 0.52-0.88% หลังหุ้นกลุ่มธนาคารและน้ำมันปรับขึ้น (-)    2. นักลงทุนต่างประเทศ  วานนี้นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิจำนวน 295.05 ล้านบาท ส่งผลให้ปี 52 นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิจำนวน 38,383 ล้านบาท (+)    3. บัญชีบริษัทหลักทรัพย์  วานนี้บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิจำนวน 94.90 ล้านบาท (+)    4. LTF-RMF  เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันสำหรับเดือน ธ.ค. ที่มีการเข้าลงทุนในกองทุน LTF/RMF ทำให้สถาบันยังมีแนวโน้มของการซื้อสุทธิต่อเนื่อง เมื่อวานนี้สถาบันซื้อสุทธิ 971.99 ล้านบาท ทั้งนี้ในเดือน ธ.ค. สถาบันซื้อสุทธิจำนวน 11,248.89 ล้านบาท (-)    5. ค่าเงินบาท On shore  วานนี้เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยและเคลื่อนไหวในกรอบ 33.33-33.45 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 33.38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเช้านี้เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 33.38-33.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ (+)    6. ดัชนีค่าเงินดอลลาร์  วานนี้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเล็กน้อยและปิดที่ระดับ 77.633 จุด ลดลง 0.008 จุด (-0.010%) สำหรับเช้านี้เคลื่อนไหวอยู่ที่ 77.643-77.679 จุด (+)    7. ราคาน้ำมัน  วานนี้ปิดบวกวันที่ 4 หลังได้รับแรงหนุนจากภาวะอากาศที่หนาวเย็น และจากการคาดการณ์ในทางบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยราคาน้ำมันดิบตลาด Nymex ปิดตลาดที่ระดับ 78.77 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 72 เซนต์ (+0.92%) ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดตลาดที่ระดับ 77.32 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.01 ดอลลาร์ (+1.32%) (+)    8. ราคาทองคำ  วานนี้ปิดบวกวันที่ 3 หลังดอลลาร์อ่อนค่าเล็กน้อย โดยราคาทองคำที่ตลาด Comex ส่งมอบเดือน ก.พ. ปิดตลาดที่ระดับ 1,107.90 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 3.10 ดอลลาร์ (+0.28%) (0)    9. ค่าระวางเรือ  วานนี้ปิดทำการในช่วงคริสต์มาสจนถึงปีใหม่ (+)    10. การเมือง  วานนี้ (28 ธ.ค.) นายกรัฐมนตรีเผยว่า หลังปีใหม่จะหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลถึงแนวทางแก้รัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งจะทำให้การเมืองในปี 53 มีเสถียรภาพมากที่สุด โดยยึดบทเรียนความขัดแย้งทางการเมืองในปี 51 (+)    11. เศรษฐกิจ  วานนี้ (28 ธ.ค.) สศค. ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยในปี 53 เป็นเฉลี่ย 3.5% จากที่คาดหดตัว 2.8% ในปี 52 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และรัฐบาลเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปที่ 1.50% (+)    12. Widow dressing  สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาส 4/52 และเหลือเวลาอีกเพียง 2 วัน ติดตามการทำราคาก่อนวันปิดสิ้นงวดบัญชี (Window Dressing) (+)    13. หุ้นปันผล  ทาง KKS คาดการณ์จ่ายปันผลของผลประกอบการ 2H52 ที่คาดหมายผลตอบแทนเงินปันผลระดับ 3-9% ซึ่งเป็นผลมาจากผลประกอบการในครึ่งปีหลัง (2H52) และผลประกอบการทั้งปีของปี 52 เช่น KTB, ASP, BLS, PHATRA, BAT-3K, TPC, AP, LPN, SPALI, MK, TOP, BCP-DR1, GRAMMY, MCOT, HANA, DELTA, ADVANC และ TKT

เปิดอ่าน6
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะหุ้น 29/12/52

บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 29/12/52ตลาดอาจผันผวนไปบ้าง แต่สุดท้ายยังลุ้นขึ้นต่อ... กลยุทธ์  แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะยังค่อนข้างแกว่งตัวผันผวน แต่ก็ยังเคลื่อนไหวเป็นบวกต่อเนื่องได้ดี โดยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางลงไปก็เนื่องมาจากเป็นช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ของนักลงทุนต่างประเทศเท่านั้น ขณะที่พัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของประเด็นมาบตาพุด ก็ถือว่ายังช่วยสนับสนุนแรงซื้อในหุ้นหลักๆ ในกลุ่มพลังงาน นอกจากนี้การคาดหวังการขยับขึ้นของ SET จากผลของ January Effect ในเดือนแรกของปีใหม่ก็น่าจะยังทำให้แรงซื้อในตลาดหุ้นไทยมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง FSS ยังคงคาดว่าต้นปีหน้าเรามีโอกาสจะได้เห็นดัชนีขยับขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมของรอบที่บริเวณ 758 จุดได้อยู่  ดังนั้นถ้า SET ปรับตัวลงจึงแนะนำเป็นจังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อเพื่อถือรอไปขายต้นปีหน้า โดยหุ้นที่แนะนำได้แก่ PTT, PTTEP, SCC , PTTCH , IRPC , BAY, TCAP, QH เป็นต้นประเด็นสำคัญวันนี้ ไฮไลท์ของสัปดาห์นี้อยู่ในวันนี้ที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะยื่นหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางในการจัดทำรางานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และสุขภาพ (HIA) แก่ ครม. หลังจากที่ NGO และเอกชนเห็นชอบแล้ว หาก ครม. อนุมัติ หลักเกณฑ์ดังกล่าวก็จะสามารถผ่านเป็นกฎกระทรวงหรือระเบียบสำนักนายกเพื่อให้มีผลบังคับใช้ในการกฎหมายต่อไป ที่สำคัญหากรัฐบาลมีกฎระเบียบการทำ EIA, HIA และการจัดตั้งองค์กรอิสระได้เร็ว ผลกระทบที่จะเกิดกับโครงการในมาบตาพุดก็จะเกิดผลกระทบน้อยกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้มาก โดยเฉพาะโครงการของกลุ่มปตท. จะได้รับผลกระทบไม่มาก     สศค. ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2010 เป็น +3.5% จากเดิมที่คาดไว้ +3.3% และหากแก้ไขปัญหามาบตาพุดได้ รวมทั้งเบิกจ่ายงบประมาณไทยเข้มแข็งได้ 80% หรือประมาณ 2.8 แสนล้านบาท GDP มีโอกาสโต 4% ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรคาด GDP ปีหน้าโต 3% สำหรับปี 2009 สศค. คาดว่า GDP จะติดลบ 2.8% ดีขึ้นจากเดิมที่คาด -3% เป็นผลมาจากการเร่งใช้จ่ายของภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าที่เร็วกว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยเดือน พ.ย. (ซึ่ง ธปท. จะรายงานในวันพรุ่งนี้) มีสัญญาณบวกชัดเจนทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกที่บวก Y-Y เป็นครั้งแรกในรอบปี การบริโภคและการลงทุนเอกชนดีขึ้น และการใช้จ่ายของภาครัฐขยายตัวในระดับที่น่าพอใจ ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เพราะเมื่อวานมีการประมูลพันธบัตรของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในสัปดาห์นี้ เป็นพันธบัตรอายุ 2 ปีจำนวน US$4.4 หมื่นล้าน จากจำนวนทั้งหมดที่จะประมูลในสัปดาห์นี้ (จันทร์-พุธ) US$1.18 แสนล้าน ราคาน้ำมันบวก 2.4% ปิดเกือบ US$79 สูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์แม้ว่าดอลลาร์จะแข็งค่าก็ตาม ทั้งนี้เป็นผลมาจากความคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอากาศที่หนาวเย็นในสหรัฐฯ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวันจันทร์ปรับเพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 6 ติดต่อกันแต่ปริมาณการซื้อขายเบาบางมาก Dow Jones บวกเพียง 0.3% นำโดยหุ้นกลุ่มค้าปลีกหลังจากมีรายงานของบริษัท SpendingPulse (บ.ในเครือ MasterCard) ว่ายอดขายในช่วง Holiday season ในเดือน พ.ย. ไม่ได้เลวร้าย แต่กลับเพิ่มขึ้น 3.6% Y-Y นอกจากนี้ กิจกรรมการผลิตในเขต Midwest เดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นมาสู่ระดับเกือบสูงที่สุดของปี สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดทำการ 4 วัน วันศุกร์ตลาดการเงินทั้งหมดในสหรัฐฯ ปิด ดัชนีค่าระวางเรือ (BDI) ปิดทำการวันจันทร์จนถึงสิ้นปี เปิดตลาดอีกครั้งวันที่ 4 ม.ค. SGF-W2 ใช้สิทธิครั้งสุดท้ายวันที่ 2 ก.พ. 2553 ระยะเวลาแจ้งความจำนงในการใช้สิทธิครั้งสุดท้ายคือตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค. 2553 - 1 ก.พ. 2553 อัตราการใช้สิทธิ 1:1 ราคาหุ้นละ 1 บาท วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนใบสำคัญแสดงสิทธิ SGF-W2 : วันที่ 12 ม.ค. 2553 - 2 ก.พ. 2553 IRP: ตั้งแต่ 24 ธ.ค. 2552 – 1 ก.พ. 2553 นักลงทุนที่ถือหุ้น IRP สามารถนำไปแลกเป็นหุ้นแม่คือ IVL ได้ในสัดส่วน 1 IRP : 1.232 IVL และในอนาคตหุ้น IRP จะถูก delist ออกจากตลาดฯ ขณะที่ IVL จะ IPO เข้ามาจดทะเบียนในตลาดฯ แทน (ในวันเดียวกัน) สัดส่วนดังกล่าวคำนวณโดยอ้างอิงราคา IRP ที่ 14 บาท ซึ่งหมายความว่าราคา IVL ต่อหุ้นเท่ากับ 11.36 บาท (14 / 1.232) หากราคา IPO ของ IVL ต่ำกว่า 11.36 บาท IVL จะคืนส่วนต่างให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ IRP เป็นหุ้น IVL แต่หากราคา IPO ของ IVL สูงกว่านั้น ก้ถือเป็นกำไรของผู้ที่ถือ IRP ไป Technical View : “ยังต้องรอวิ่งผ่าน 735 จุดก่อน ถึงจะลุ้นขยับหา 740-744 จุดให้เทรดดิ้งต่อ...แต่ถ้าไม่ผ่านขึ้นก็ยังต้องระวังไหลลงหา 720-715 จุด และเสี่ยงต่อการที่จะไหลลงต่อเนื่องด้วย...” แนวรับ    :   725***, 720-715*      แนวต้าน  :   735**, 740-744***Technical Picks:TTCL (Bt 7.30 เป้าเทคนิค 7.70-7.90 cut loss ถ้าหลุด 7.10)NNCL (Bt 1.46 เป้าเทคนิค 1.56-1.58 cut loss ถ้าหลุด 1.42)NBC (Bt 2.94 เป้าเทคนิค 3.18-3.22 cut loss ถ้าหลุด 2.90)

เปิดอ่าน9